วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฤดูฝนพรำ! เตือนระวังโรคเดิมๆ แผลงฤทธิ์ใส่ลูก


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       ความสุขที่สุดของคนเป็นแม่ คือการเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดี แข็งแรง แต่ถ้าวันหนึ่งลูกเกิดไม่สบาย หรือเจ็บป่วยขึ้นมา คงไม่ต้องบอกเลยว่า หัวอกคนเป็นแม่จะเป็นเช่นไร ยิ่งเฉพาะในช่วงนี้ที่ฝนฟ้าคะนองกระจายไปทั่ว จึงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงที่กลุ่มเชื้อโรคเดิมๆ ต่างออกมาส่งต่อโรคกันอย่างสนุกสนาน ส่งผลให้เด็กเล็ก ๆ ในบ้านมีโอกาสถูกรุมรังแกได้ง่าย
      
       ฉะนั้น ด้วยความเป็นห่วง รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็กเล็ก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงกล่าวเตือนผ่านทีมงาน Life and Family ว่า ถึงแม้จะเป็นโรคเดิมๆ ในหน้าฝนที่เกิดกับลูก แต่พ่อแม่ก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะเป็นฤดูที่เชื้อไวรัสเจริญเติบโต และแพร่กระจายได้ดีกว่าช่วงอื่น ๆ
      
       สำหรับโรคเดิมๆ โรคแรก พ่อแม่ต้องระวังโรคไข้เลือดออกให้ดี เพราะสถานการณ์โดยรวมขณะนี้ยังคงน่าเป็นห่วง โดยสถิติการระบาดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สูงถึงร้อยละ 83 โดยเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไข้เลือดออกมีการแพร่ระบาดสูง
      
       ดังนั้นบ้านที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ได้ง่าย เนื่องจากเป็นที่ที่เอื้อต่อการวางไข่ของยุงลาย เมื่อเป็นเช่นนี้วิธีง่ายๆ ในการพิชิตยุงลาย คือ ควรปิดฝาภาชนะเก็บน้ำทุกชนิดให้มิดชิดอยู่เสมอ เปลี่ยนน้ำในแจกัน ขวด หรือภาชนะ สำหรับบ้านที่มีจานรองขาตู้กับข้าว ถ้าไม่สะดวกเปลี่ยนน้ำ สามารถเติมเกลือแกง 2 ช้อนชา หรือใส่น้ำส้มสายชู 2 ช้อนชา เพราะถ้าน้ำเปรี้ยวยุงลายจะไม่ชอบวางไข่
      
       หรืออาจใช้วิธีกำจัดลูกน้ำยุงลายด้วยการปล่อยปลากินลูกน้ำอย่างปลาหางนกยูง หรือปลาสอด โดยใส่เฉพาะตัวผู้อย่างเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขยายพันธุ์ หรือใส่ทรายกำจัดลูกน้ำที่มีขายอยู่ทั่วไปในอัตรา 1 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร นอกจากนี้พืชผักสมุนไพรบางชนิดสามารถป้องกันยุงได้ เช่น มะกรูด โดยการใช้ลูกมะกรูดมาคลึงจนมีน้ำมันออกมาแล้วโยนลงในบ่อเก็บน้ำ น้ำมันของมะกรูดจะมีกลิ่นฉุนทำให้ยุงไม่มาวางไข่
      
       นอกจากโรคไข้เลือดออกที่มากับยุงลายแล้ว ไวรัสที่ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ย่อมเกิดได้ดีในช่วงนี้เช่นกัน ส่งผลให้เด็กเป็นไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่กันได้ง่าย ซึ่งทั้ง 2 โรคนี้ เป็นโรคที่ไม่เคยตายไปจากชีวิตมนุษย์เลย โดยเฉพาะโรคหลัง ถ้าเป็นในเด็กต่ำกว่า 2 ปี จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้สูง เช่น เกิดอาการปอดบวมได้ 
      
       อย่างไรก็ดี หากลูกเป็นไข้ และมีเสมหะ ทีมงานได้เคยนำเสนอวิธีการจัดท่าระบายเสมหะให้ลูกไว้เมื่อหลายเดือนก่อน สามารถคลิกอ่านย้อนหลังได้จากข่าวนี้ รู้ทัน "ปอดบวมในเด็ก" แนะวิธีจัดท่าระบายเสมหะให้ลูก ซึ่งจะบอกวิธีการจัดท่าที่จะช่วยระบายเสมหะให้ลูกน้อยพร้อมภาพประกอ โดยมีอยู่ด้วยกัน 7 ท่าที่คุณแม่ทำให้ลูกได้ไม่ยาก 
      
       นอกจากนี้ คุณหมอบอกต่อว่า เชื้อไวรัสโรต้า เป็นเรื่องที่พ่อแม่จะละเลยไม่ได้เช่นกัน เพราะเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรงในเด็กเล็ก ซึ่งมีวิธีป้องกันง่ายๆ คือ ให้ลูกล้างมือก่อนหยิบจับอาหาร และหลังการเล่นของเล่น ถึงแม้จะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่หลายๆ บ้านมักลืม หรือไม่ได้สนใจ
      
       "ในช่วงนี้ขอให้มีความสุขในการดูแลลูก ไม่อยากให้เครียดจนเกินไป แต่การมีความรู้ที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้ารู้แบบครึ่งๆ กลางๆ จะทำให้พ่อแม่เกิดความตึงเครียด ส่งผลให้ทำหน้าที่พ่อแม่ได้ไม่ดี ดังนั้นอยากให้มีข้อมูลที่รู้จริง ไม่รู้เลยยังดีกว่ารู้ครึ่งๆ กลางๆ เพราะถ้ารู้จริง เราจะสามารถจัดการปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่ถ้าเรื่องไหนที่ไม่รู้ หรือไม่มั่นใจ ขอให้เดินทางมาปรึกษาคุณหมอที่โรงพยาบาล คุณหมอจะให้คำปรึกษาที่ถูกต้องกับคุณ" คุณหมอเด็กกล่าวทิ้งท้าย

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โซเชียลเน็ตเวิร์กแย่งเวลาลูก 53 ชม.ต่อสัปดาห์



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
       สื่อสมัยใหม่เช่น การส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์ (SMS) หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น เฟสบุ๊ก และทวิตเตอร์ กลายเป็นสิ่งที่แย่งเวลาการพบปะพูดคุยของคนในครอบครัวให้ลดน้อยถอยลงไปทุกที โดยเฉพาะประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างสหรัฐอเมริกา ล่าสุดพบว่า เด็กอายุ 8 - 18 ปีนั้นใช้เวลาเฉลี่ย 53 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ไปกับสื่อเหล่านั้น และพบว่าเด็กกลุ่มดังกล่าวเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีความสุขนัก แถมยังมีผลการเรียนตกต่ำอีกด้วย
     
       จากผลการสำรวจพ่อแม่ผู้ปกครองชาวมะกันจำนวน 1,200 คนของมูลนิธิ Kaiser Family พบว่า มากถึง 1 ใน 3 ยอมรับว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เข้ามาแย่งเวลาของลูกไปจากพ่อแม่มากขึ้น
     
       "ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเด็กยุคนี้ทำให้พ่อแม่ต้องปรับตัว ใช้มาตรการเชิงรุกกับลูก อาจคอยสังเกตถึงรายการทีวีที่ลูกดู เว็บไซต์ที่ลูกเข้า หรือเพื่อน ๆ ที่ลูกส่งข้อความถึง" Steve Pasierb ประธานกลุ่ม Drug-Free American ผู้เปิดเผยตัวเลขงานวิจัยกล่าว
     
       อีกหนึ่งหนทางที่พอจะช่วยได้ก็คือ การให้พ่อแม่หันมาใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดต่อสื่อสารกับลูก เช่น ลองใช้อีเมล ส่ง SMS หาลูกบ้าง แต่ในมุมมองของนักวิจัยระบุว่า วิธีการเหล่านั้นยังดีไม่เท่ากับการสื่อสารตัวต่อตัว
     
       อย่างไรก็ดี ปัญหาที่แก้ได้ยากนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่บางคนรู้สึกไม่สะดวกใจ หรืออายที่จะใช้สื่อสมัยใหม่เหล่านี้ติดต่อกับลูกของตนเอง แต่ก็ต้องทำใจยอมรับว่า โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และเราต้องหาทางเชื่อมต่อกับลูก ๆ ให้ได้ในทุกทางเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่จะต่อกันไม่ติด
       

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เปิดมุมมองวันแม่แบบเด็ดๆ กับท่าน ว. วชิรเมธี


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
       “น้ำทุกหยดล้วนมีต้นน้ำ” - โลกนี้ไม่มี “แม่กระป๋อง”ขาย เอ็นคอนเส็ปท์ อี แอคเคเดมี่ ชวนเยาวชนไทยวัยโจ๋ ร่วมเสวนาไขปัญหากับพระชื่อดังเนื่องในวันแม่'53
      
       ในทุกปีที่วันแม่ได้เวียนมาบรรจบ เยาวชนไทยหลาย ๆ คนก็มีหลาย ๆ มุมคิดต่อ “วันแม่” บางคนวางแผนว่าปีนี้จะทำอะไรให้คุณแม่บ้าง .. ทำการ์ดอวยพรให้แม่ อยู่ปรนนิบัติแม่ ขอเงินแม่ ชวนแม่ไปวัด หรือ เด็กวัยรุ่นบางคนที่บังเอิญกำลังต้องเป็นแม่ อาจกำลังวางแผนทิ้งลูก !
      
       ล่าสุด กลุ่มนักเรียน นักศึกษาวัยใส พร้อมด้วย โรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษ เอ็นคอนเส็ปท์ อี แอคเคเดมี่ นำโดย ครูพี่แนน อริสรา ธนาปกิจรองผู้อำนวยการและหัวหน้าทีมเอ็ดดูเทนเนอร์  ได้จัดทริปพิเศษ “ลมหายใจแห่งพระคุณแม่” ร่วมสนทนาธรรมกับพระสงฆ์ชื่อดัง ได้แก่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว. วชิรเมธี และ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล วัดนาป่าพง พร้อมนำคำถามในใจคุณแม่และคุณลูกไปขอข้อธรรม โดยมีตัวอย่างหัวข้อธรรมดังนี้
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว. วชิรเมธี และ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล วัดนาป่าพง
       ตัวแทนเยาวชน “วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์และไม่พร้อมจะดูแลลูก จำเป็นต้องเอาลูกไปไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือทิ้งให้คนอื่นเลี้ยง ถือว่าบาปไหมคะ”
      
       ว.วชิรเมธี “คำว่าบาปมี 2 ความหมายนะ บาปปัจจุบันคือความเดือดเนื้อร้อนใจ รู้สึกผิดไปทั้งชีวิต มีลูกแต่เอาลูกไปทิ้งถังขยะ วางใต้ต้นไม้ วางป้ายรถเมล์ ทำเป็นลืม บาประยะยาวในอนาคตอันไกลคือ คุณจะเป็นคนที่ถูกทิ้งเหมือนกัน ทางแก้ก็คือ ชายหนุ่มหญิงสาว ถ้าคุณมีความรัก คุณต้องมีความรับด้วย คือความรับผิดชอบ “ความรักให้มาพร้อมกับความรับ” หากไม่พร้อมต้องหาวิธีป้องกัน หนักกว่านั้นคือทำแท้ง พอถึงวันแม่ หรือวันหนึ่งที่คุณเป็นแม่คนจริง ๆ ขึ้นมา คุณจะสะเทือนใจแค่ไหน ฉันเป็นแม่ที่ทำแท้งลูก แล้วคิดว่าวิญญาณลูกที่ถูกทำแท้งจะคิดถึงเราในแง่ดีไหม ..
       ตัวแทนเยาวชน “เวลาที่เราคุยกับคุณแม่ทีไร ต้องเกิดมีปากเสียง ทะเลาะ ไม่เข้าใจกันทุกครั้ง จะทำอย่างไรดีคะ”
      
       ว.วชิรเมธี แม่บางคนชอบสอนลูกด้วยวิธีการเปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกคนอื่น ... “ดูลูกคนอื่นเขาสิ....” เป็นวิธีการสอนที่ไม่ฉลาด เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกไม่ดี กับตัวอย่างที่ถูกยก และเป็นการประจานลูกต่อหน้าคนอื่น ลูกจะรู้สึกย่ำแย่มาก บางครั้งแม่อาจใช้วิธีพูดชาประชดประชันลูก ด่าทอ จะทำให้ลูกขาดความเชื่อมั่น วิธีการพูดของคนเรามันสำคัญมาก พูดเป็นทำให้ปากเราเป็นช่อดอกไม้ หากพูดไม่เป็นปากของเรากลายเป็นหอกพุ่งใส่อกคนอื่นๆ ดังนั้น ฝากคุณพ่อคุณแม่ ทั้งหลาย คำพูดมันเป็นศิลปะ เปลี่ยนคำด่าเป็นคำแนะนำ เปลี่ยนการประชดประเทียบ เป็นการให้กำลังใจดีกว่า ขอให้เชื่อไว้อย่างหนึ่ง การพูดให้กำลังใจได้ผลกว่าการพูดเหน็บแนม .. คำชมเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากฟัง เปลี่ยนการตอกตะปูใส่หัวใจของลูก เป็นการโยนช่อดอกไม้ใส่มือลูกจะดีกว่า
      
       ตัวแทนเยาวชน “ถึงวันแม่ทีไร ลูกหลายคนนึกถึงแม่ที่ทิ้งไป แม่ที่เป็นคนไม่ดีด้วยความเจ็บปวดทุกครั้ง ควรปฏิบัติอย่างไรดี”
      
       ว.วชิรเมธี - “ลูกที่ฉลาดถ้าเห็นว่าแม่ผิดพลาดต้องบอกตัวเองว่าหนึ่ง เราต้องไม่ซ้ำเติมท่าน เพราะถือว่าในฐานะมนุษย์ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ให้อภัยท่านเถอะนะ แล้วบอกตัวเองว่า ความผิดพลาดของแม่จะต้องเป็นบทเรียนให้เรา ในยุคสมัยของแม่ แม่เคยเป็นแม่ที่ใช้ไม่ได้ แต่ในยุคสมัยของฉัน ฉันจะเป็นแม่ชั้นนำให้ดู พลาดที่แม่แล้วมาแก้ที่ลูก ถ้าทำได้อย่างนี้ อย่าไปซ้ำเติมใครให้เป็นบาปเป็นกรรมกับตัวเอง นี่คือทางออกที่ดี และเป็นทางสายกลางสำหรับลูกที่ระลึกถึงแม่ที่ไม่ได้ดังใจ”
       วันแม่มีความสำคัญมากกว่าแค่จะระลึกถึงพระคุณแม่ แต่มีความหมายเชิงบวกอีกอันหนึ่ง ยิ่งแม่กับลูกมีปัญหาแคลงใจ ก็ควรมาพูดคุยกัน เคลียร์กัน อภัยให้กัน ลูกก็ควรทิ้งพยศ ลดมานะ ละฐิทิ ...หากวันหนึ่งเราไม่มีแม่ แล้วเราเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเจอแม่กระป๋องตามเชลฟ์ไหม วันแม่เป็นวันแห่งการเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ที่ปกติของแม่และลูกได้ ขอให้เป็นวันเจรจาสันติภาพ ให้มีแม่มีลูกกลับมาสู่อ้อมกอดกันอีกครั้ง
      
       ครูพี่แนน “ถ้าหาก คุณพ่อคุณแม่ ของเราเสียไปหมดแล้ว พอถึงวันแม่ควรปฏิบัติตัวเช่นไรคะ”
      
       ว.วชิรเมธี - “แม้แม่ไม่อยู่แล้ว แต่สายสัมพันธ์นั้นไม่ได้ขาด เมื่อวันแม่มาถึงก็ควรไปทำบุญอุทิศให้ท่าน ประการที่สอง คุณสมบัติของท่านยังอยู่ในตัวเรา ลองถามตัวเองดูว่า เราได้ใช้กายนี้ใจนี้ที่ท่านให้มา คุ้มไหม ใช้ร่างกายและจิตใจที่แม่ให้มาเพื่อไปทำความดี หรือใช้เพื่อไปทำเลว ถ้าคุณลูกทำดีตลอด คุณก็ทำดีในนามของแม่ด้วย แม่กำลังไปทำกับคุณด้วย อย่างวันนี้เรามาคุยกับพระ ก็เท่ากับแม่ที่ล่วงลับดับขันธ์ได้มาฟังกับเราด้วย แต่ถ้าลูกใช้รูปกายนี้เพื่อไปติดอยู่ในอบายมุข ในยาเสพติด เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ยาม้า ยาบ้า ยาอี ตลอดจนถึงอบายมุข คบคนชั่วเป็นมิตร ขี้เกียจ หรือว่าเป็นคนเลว เป็นคนโป้ปดมดเท็จ หรือว่าคอรัปชั่น เหล่านี้ ความชั่วทั้งหมดนะ ทำหรือเปล่า ถ้าลูกทำ ได้โปรดรับรู้ว่าลูกกำลังพาแม่ไปทำชั่ว ...โปรดรู้ด้วยว่าสายสัมพันธ์แห่งความเป็นลูกและสายสัมพันธ์แห่งบุญจะถูกถ่ายโอนไปถึงคุณแม่ทุกคราไป”
      
       วันต่อมา ครูพี่แนน พร้อมทีมผู้ปกครองและเยาวชน ได้พากันเดินทางไปกราบพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล ณ วัดนาป่าพง อันเงียบสงบ ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาอันเขียวขจีลึกเข้าไปจากปากคลอง 10 ถนนรังสิต-นครนายก ปทุมธานี
พระอาจารย์คึกฤทธิ์
       ตัวแทนเยาวชน : “ถ้าพ่อแม่อยากไปปฏิบัติธรรมะ แต่ลูกห้ามไว้เพราะกลัวจะไปอยู่ลำบากที่วัด ไม่ทราบว่าบาปมั้ย และระหว่างการปฏิบัติธรรมที่วัด กับปฏิบัติเองที่บ้าน จะได้ผลเท่ากันไหมคะ”
      
       พระอาจารย์คึกฤทธิ์ กาย วาจา จิต อยู่ที่ไหนมันก็ดีที่นั้น ไม่ใช่อยู่วัดแล้วจะต้องดีที่วัด ในเรื่องการห้ามแม่ไม่ให้ไปวัดนั้น โยมลองคิดดูแล้วกัน ขนาดแค่การห้ามคนไม่ให้ทาน พระตถาคตบอกว่าแค่ห้ามผู้อื่นให้ทาน ผู้นั้นไม่ใช่มิตร เป็นอมิตร เป็นการทำอันตรายต่อลาภของปฏิคา 6 ผู้รับทานกำลังจะได้รับทานนั้น เราดันไปห้ามอีก แล้วเป็นการขุดรากตัวเองด้วย ตัวเองกำลังจะได้อานิสงส์จากการให้ทานนะ นี่ขนาดแค่ให้ทานนะ แล้วห้ามคนจะปฏิบัติธรรมซึ่งมีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานเป็นร้อยเท่า โยมคิดว่ามันน่าจะควรไหม 
      
       ตัวแทนเยาวชน : อยากทราบว่าจะมีวิธีไหนที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจในตัวเราได้บ้าง เพราะไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง
       

       พระอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ไม่จำเป็นต้องเอาความเก่งมาเป็นเครื่องวัด เราก็ฝึกมีธรรมะไปด้วย เวลาเรามีธรรมะเดี๋ยวเราก็จะพลิกตัวกลับมาได้ มันจะรู้สึกนึกได้ พระพุทธเจ้าให้ฝึกจิต ถ้าจิตดีแล้วทุกอย่างดีหมด เธอปรารถนาสิ่งใดเธอจะได้สิ่งนั้นตามปรารถนา ปัญหาอุปสรรคมันจะลดลงไปเรื่อย ๆ 
       ตัวแทนเยาวชน : เวลาทะเลาะกับคุณแม่ คุณแม่มักพูดว่าไม่น่าเกิดมาเลย รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากเสียดีกว่า ทำให้รู้สึกน้อยใจและโกรธท่าน เถียงท่านในใจว่าก็ไม่ได้บอกให้แม่ทำให้เกิดมานี่ ไม่ทราบว่าคิดแบบนี้ผิดไหม
       

       พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : แม่คิดอกุศล พูดอกุศล ก็เป็นเรื่องของแม่นะ ภพอันเป็นอบายเกิดกับแม่ ไม่ได้เกิดกับเรานะ แต่ถ้าเราอกุศลตอบ ภพอันเป็นอบายก็เกิดกับเรา ถ้าเกิดแม่รักษาจิตได้แล้ว แต่เรารักษาจิตไม่ได้ เราไปด่าแม่ อกุศลเกิดขึ้น อบายเกิดกับเราไม่ได้เกิดกับแม่ ดังนั้น ทุกคนต้องระมัดระวังตัวเอง ต้องรักษาจิตตัวเองไม่ให้ไปตกในอกุศล อกุศลเกิดขึ้นแล้วพระศาสดาบอกว่า ให้เธอรีบทิ้งให้ไวที่สุด เปรียบเหมือนถ้าไฟลุกไหม้เสื้อผ้าโยมอยู่ตอนนี้ โยมคงต้องดับให้ไวที่สุด เมื่ออกุศลเกิดขึ้นพระศาสดาบอกว่า เธอต้องใช้ความเพียรอย่างแรงกล้า อย่างไม่ถอยกลับ ใช้สติ การระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัวอย่างแรงกล้า เพื่อที่จะดับอกุศลนั้นอย่างเร่งด่วน โยมไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียง ใครว่าเรา พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ตั้งใจฟังเขาให้ดี ถ้าเขาว่าถูก ก็ดีแล้วเราก็ไปแก้ไข ถ้าเขาว่าผิด ก็บอกว่าสิ่งนี้ไม่มีในเรา อย่าพึงทำความพอใจ ความไม่พอใจตรงนั้น
      
       ตัวแทนเยาวชน : ทุกวันนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องการให้เรียนหนังสืออย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องช่วยทำงานบ้านเลย ท่านคิดอย่างไร
      
       พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : ก็จะทำให้ลูกขาดความรับผิดชอบ ไม่รู้จักการใช้ชีวิต ต้องมอบความรับผิดชอบให้ลูกบ้าง ให้รู้จักดูแลตัวเอง ห้องของตัวเองต้องดูแลเป็น เรียนอย่างเดียวมันจะรอดไหม ด็อกเตอร์นะเต็มประเทศไปหมด แต่ด็อกเตอร์ที่ชุ่ย กิริยามารยาทไม่ดี ขาดความรับผิดชอบ คนเขาก็ไม่เอาเหมือนกันนะ ถ้าความรู้เท่ากันมา 10 คน เค้าก็ต้องเลือกคนที่มารยาทดี มีความรับผิดชอบ มีวินัย มีความเกรงอกเกรงใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องถูกฝึกตั้งแต่เด็ก เราจะโดดเด่นกว่าคนอื่นก็เพราะว่าเรามีคุณสมบัติพวกนี้ ความรู้เดี๋ยวมันก็เรียนทันกันได้ อีกอย่างโยมต้องมีธรรมมะ ตัวธรรมะมันจะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นโยมต้องรู้ว่า อะไรที่จะเป็นเหตุให้เจริญก้าวหน้าในทางโลกและทางธรรม ต้องสร้างเหตุอย่างไร 
       ทั้งนี้ ครูพี่แนน ได้กล่าวถึงกิจกรรมพิเศษ“ลมหายใจแห่งพระคุณแม่” นี้ว่า สถาบันครอบครัวนับว่าสำคัญที่สุด เพราะเป็นสถาบันพื้นฐานในการสร้างคน แนน หวังว่า เทปบันทึกการสนทนาธรรมพิเศษที่จะนำไปถ่ายทอดในวันแม่ไปถึงเยาวชนและผู้ปกครองใน 30 สาขาทั่วประเทศ จะเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ คน
      
       “ผู้ที่มีความรู้สารพัดรู้ แต่ไม่รู้ว่าพ่อแม่มีพระคุณอย่างไร นับว่ามีความรู้ที่สูญเปล่า ขอให้ระลึกถึงต้นน้ำของเรา คนทุกคนล้วนมีต้นน้ำ ไม่มีใครเกิดมาจากสุญญากาศ ไม่มีเกิดมาจากก๊อกน้ำ ไม่มีใครเกิดมาจากไอพ๊อด ให้นึกถึงคุณแม่คุณแม่เสมอ และตอบแทนท่านด้วยความกตัญญูกตวเที สุภาษิตจีนกล่าวว่า ร้อยความ ดี ...ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง” ว.วชิรเมธี
      
       “ ไหว้พระ หมื่นองค์ แต่ไม่เคยกราบพ่อแม่เลย ก็เท่ากับ เป็นคนไม่มีคุณค่าอะไรเลย”

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิจัยเผย “ความอ้วน” เป็นสาเหตุให้เด็กหญิงในอเมริกาเป็นสาวเร็วขึ้น

360 องศา: วิจัยเผย “ความอ้วน” เป็นสาเหตุให้เด็กหญิงในอเมริกาเป็นสาวเร็วขึ้น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
งานวิจัยชี้ว่า ความอ้วนเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้เด็กผู้หญิงล่วงสู่วัยสาวเร็วผิดปกติ
       เอเจนซี - ผลการวิจัยชิ้นใหม่เผย เด็กผู้หญิงในสหรัฐฯจำนวนมากกำลังเข้าสู่วัยสาวเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน
      
       ดร.แฟรงก์ ไบโร แห่งศูนย์แพทย์โรงพยาบาลเด็กซินซินนาติซึ่งเป็นหัวคณะคณะวิจัยกล่าวว่า ผลการศึกษาของพวกเขาเผยให้เห็นอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วขึ้นกว่าปี 1997 โดยเด็กที่เป็นสาวเร็วจะมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่า และมีโอกาสป่วยเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าด้วย
      
       แพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเข้าสู่วัยสาวเร็วขึ้น แต่คาดว่าความอ้วนเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะดังกล่าว
      
       เมื่อเปรียบเทียบกับผลการศึกษาในปี 1997 พบว่าปัจจุบันเด็กผู้หญิงในสหรัฐฯมีการพัฒนาการทางร่างกายเร็วขึ้นกว่าเดิม เมื่ออายุ 7 ปี ร้อยละ 10 ของเด็กผิวขาว และ ร้อยละ 23 ของเด็กผิวดำเริ่มจะมีหน้าอก ในขณะที่ผลวิจัยปี 1997 ระบุตัวเลขร้อยละ 5 และร้อยละ 15 ตามลำดับ
      
       งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในอังกฤษเสนอว่า เด็กเล็กที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถือเป็นสัญญาณของโรคอ้วน และมีแนวโน้มจะเข้าสู่วัยสาวเร็วกว่าปกติ
      
       ลี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนกล่าวว่า สาเหตุอาจมาจากการที่คนอ้วนมีฮอร์โมนซึ่งเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางร่างกายสูงกว่าคนทั่วไป แต่สารอาหารที่ได้รับก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน
      
       งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันว่า เด็กที่โตเป็นสาวเร็วอาจเสี่ยงต่อความเครียด และมักมีเพศสัมพันธ์เร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ
      
       “เขาอายุแค่ 11 ปี แต่ดูเหมือนเด็กอายุ 15 หรือ 16 ดังนั้นผู้ใหญ่จึงมักปฏิบัติต่อเขาเหมือนเด็กอายุ 15-16 รวมถึงเพื่อนๆของเขาด้วย” ไบโรกล่าว พร้อมเสริมว่าเด็กที่เป็นสาวเร็วนั้น “จะดูเหมือนอายุมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีวุฒิภาวะสูงตามไปด้วย”
      
       นอกจากนี้ ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมากยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งก็เป็นปัญหาสำหรับเด็กที่โตเป็นสาวเร็วด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัยที่พวกเธอหมดประจำเดือน
      
       ไบโรแนะนำว่า คนในครอบครัวสามารถช่วยชะลอไม่ให้บุตรหลานล่วงเข้าสู่วัยสาวเร็วเกินควรได้ ด้วยการสนับสนุนให้พวกเขาทานผักผลไม้มากๆ และหมั่นทานอาหารร่วมกันภายในครอบครัว

“โลกร้อน” ทำสัตว์วิวัฒนาการเร็วขึ้นกว่าเดิม

  
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ปลาสคิคเคิลแบ็ค ปลาทะเลที่เป็นหนูทดลองสำหรับงานวิจัยนี้ (redorbit.com)

ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงอุณหภูมิบริเวณแถบอาร์ติกของโลกในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งระหว่างปี 1981 -2008 อุณหภูมิแถบดังกล่าวเพิ่มขึ้นสูงและมีน้ำแข็งลดลงอย่างน่าใจหาย (เอเอฟพี)

โรวาน บาร์เรตต์ (มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย)

ผู้เชี่ยวชาญชี้ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ส่งผลกระทบให้สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติมีวิวัฒนาการเร็วที่สุดเท่าที่เคยมี ยกตัวอย่างปลาทะเลที่ใช้ศึกษาสามารถปรับเปลี่ยนพันธุกรรมแค่เพียง 3 ชั่วรุ่น แต่ส่งผลร้ายตามมานั่นคืออัตราการตายสูง 
      
       “การศึกษาของเราเป็นตัวอย่างแรกที่แสดงให้เห็นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่า สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติที่มีพันธุกรรมมั่นคงนั้น สามารถปรับเปลี่ยนพันธุกรรมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้อย่างรวดเร็ว” โรวาน บาร์เรตต์ (Rowan Barrett) นักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย (University of British Columbia) แคนาดา กล่าว
      
       อย่างไรก็ดี เอเอฟพีรายงานคำเตือนของบาร์เรตต์ด้วยว่า วิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดนั้นทำให้มีอัตราการตายสูงตามมาด้วย โดยในงานวิจัยของเขาซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ทั้งจากแคนาดาและยุโรปนั้นได้นำปลาสติคเกิลแบ็ค (stickleback fish) จากทะเลมาเลี้ยงในสระที่ค่อยๆ ลดอุณหภูมิลงทีละน้อย แล้วใช้เวลาศึกษาปลาชนิดนี้เป็นเวลา 3 ปี
      
       ผ่านไป 3 ชัวรุ่นซึ่งแต่ละรุ่นใช้เวลา 1 ปีนั้น ปลาสติคเกิลแบ็คเกิดวิวัฒนาการเพื่ออาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิ 2.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิต่ำกว่าระดับที่ปลารุ่นทวดของสปีชีส์นี้จะมีชีวิตอยู่ได้ โดยการศึกษานี้ได้ชี้ให้เห็นว่า อย่างน้อยๆ สิ่งมีชีวิตบางชนิดสามารถที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็วมากพอที่จะอยู่รอดในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
      
       งานวิจัยนี้ ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ทั้งในรูปแบบออนไลน์ในรูปแบบตีพิมพ์ของวารสารเดอะโพรซีดิงส์ออฟเดอะรอยัลโซไซตี บี (the Proceedings of the Royal Society B) ฉบับวันที่ 7 ก.ย.นี้
      
       แท้จริงแล้ว งานวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทั้งหมดทำนายว่า อุณหภูมิโลกจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นหลายองศาเซลเซียสในช่วงหลายทศวรรษที่ใกล้เข้ามา และเกิดการแกว่งอย่างรุนแรงระหว่างอุณหภูมิที่หนาวสุดขั้วและร้อนสุดขีด
      
       “แต่เพียงเพราะเราได้เห็นการตอบสนองทางวิวัฒนาการระดับใหญ่ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าประชากรในธรรมชาติสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยไม่มีผลสืบเนื่องตามมา ทั้งนี้ปลาที่ศึกษาประมาณ 95% ตายระหว่างช่วง 3 ปีที่เราทำการศึกษา มีเพียง 5% เท่านั้นที่พัฒนาความทนทานต่อความหนาวเย็นได้” บาร์เรตต์กล่าว
      
       นักพันธุศาสตร์จากแคนาดากล่าวว่า การสูญเสียประชากรถึง 95% นั้นเป็นหายนะ เพราะจำนวนที่เหลืออยู่เพียง 5% นั้น อาจจะไม่สามารถสร้างความยั่งยืนให้แก่จำนวนประชากรได้ และกล่าวอีกว่า เราไม่ทราบพื้นฐานทางพันธุกรรมของคุณสมบัติพิเศษดังกล่าว
      
       บาร์เรตต์ซึ่งกำลังจะย้ายไปมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย เสริมอีกว่ายังต้องมีการศึกษาที่มากกว่านี้ว่าวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วนี้ สามารถเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตสปีชีส์อื่นอีกหรือไม่ และการวิวัฒนาการในภาวะโลกร้อนที่เป็นอันตรายยิ่งกว่าภาวะที่โลกหนาวเหน็บ ซึ่งการศึกษาลักษณะดังกล่าวอาจให้ร่องรอยที่มนุษย์จะใช้รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
      
       การศึกษาวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของปลาทะเลชนิดนี้ เป็นเหมือนกระจกสะท้อนวิวัฒนาการอันยาวนาน 10,000 ปีของปลาสติคเคิลแบ็คในเมืองบริติชโคลัมเบีย แคนาดา ซึ่งเป็นลูกหลานของปลาทะเลที่ติดอยู่ในแผ่นดินในช่วงปลายของยุคน้ำแข็ง (Ice Age) และมีวิวัฒนาการที่จะอยู่รอดในอุณภูมิที่หนาวเย็นสุดขั้ว
      
       บาร์เรตต์ยังชี้อีกว่า มนุษย์มีวัฒนาการเมื่อผ่านไป 10,000 ชั่วรุ่น นับแต่การอพยพครั้งใหญ่เกิดขึ้นครั้งแรกในแอฟริกา ทำให้เกิดคำถามว่ามนุษย์ต้องใช้เวลากี่ชั่วรุ่นเพื่อปรับตัวกลายเป็นคนทางซีกโลกเหนือที่มีวิวัฒนาการของยีน ซึ่งช่วยให้มนุษย์ในรุ่นถัดๆ มารับมือกับอากาศที่หนาวเย็นได้มากกว่าบรรพบุรุษแอฟริกัน
      
       “คุณสามารถเริ่มวาดเส้นขนานในอัตราการวิวัฒนาการได้ แต่อย่างที่แสดงให้เห็นอัตราการตาย 95% ในปลาสติคเคิล วิวัฒนาการที่เร็วขนาดนั้น ทำให้ประชากรตกอยู่ในความเสี่ยงสูง มันมักจะมีผลที่ตามมาเสมอ” บาร์เรตต์กล่าว.

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด แบบ "อารมณ์ดี๊ดี"


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ศ.พญ.อลิสา วัชรสินธุ
       หากพูดถึง "การเลี้ยงลูก" เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ อยากให้ลูกเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข แต่หลายๆ ครั้งเป้าหมายที่วางไว้ค่อยๆ จางหายไปทีละข้อ สองข้อ เมื่อพ่อแม่ตกไปอยู่ภายใต้การแข่งขันที่กดดันของสังคม ทำให้ส่วนใหญ่ไม่มีเวลาเพียงพอในการเลี้ยงลูก จึงมักเลือกที่จะฝากลูกไว้กับโรงเรียน หรือสถาบันกวดวิชาต่างๆ เพราะอยากให้ลูกเก่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับลืมไปว่า ความฉลาดทางอารมณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้เช่นกัน
      
       ในเรื่องนี้ "ศ.พญ.อลิสา วัชรสินธุ" จิตแพทย์เด็ก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวให้มุมมอง และแนวทางในเวทีสัมมนาเรื่อง "เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด...แบบอารมณ์ดี" จัดโดยนมเปรี้ยวดัชมิลล์พลัส แอดวานซ์ และโรงพยาบาลนครธน ว่า ความฉลาด หรือที่เรียกว่า IQ นั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่ต้น ซึ่งพ่อแม่มีส่วนที่จะช่วยให้ลูกได้ใช้ความฉลาดหรือ IQ อย่างเต็มที่ โดยเสนอให้ลูกได้แสดง เรียนรู้ และใช้ความสามารถที่มีอยู่ ไม่ว่าจะด้านวิชาการ ดนตรี กีฬา หรือการมีปฎิสัมพันธ์กันในครอบครัว พูดคุยกับลูก เล่นกับลูก ก็เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้เด็กฉลาดได้
      
       แต่ทั้งนี้ ความฉลาดต้องมาคู่กับอารมณ์ดี เพราะถ้าเด็กอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด วิตกกังวล หรือกลัว ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ และใช้ความฉลาดที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นจุดหนึ่งที่พ่อแม่ต้องพัฒนาไปทั้งสองอย่าง และควบคุมพฤติกรรมของลูก ไม่ตามใจลูกจนเกินไป เพราะหากตามใจ เมื่อลูกหงุดหงิด ก้าวร้าว ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เด็กอาจจะจบด้วยการเอาแต่ใจตัวเอง สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ดังนั้นความฉลาดทางอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าฉลาดแต่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนคงจะดูไม่ดีแน่นอน
      
       อย่างไรก็ดี การเลี้ยงลูกให้อารมณ์ดีนั้น ศ.พญ.อลิสา บอกว่า เด็กจะอารมณ์ดีหรือไม่เกี่ยวโยงกับพัฒนาการหลายๆ ด้านของเด็ก เช่น ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม อาทิ หากเด็กมีพื้นฐานอารมณ์ดีก็จะกินได้ เล่นได้ และพร้อมที่จะเรียนรู้ในทักษะความรู้ด้านต่างๆ ได้ดี ขณะเดียวกันเมื่อตัวเด็กพร้อม ย่อมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข เช่น พ่อ แม่ คุณครู ปู่ ย่า ตายาย หรือ เพื่อน เพราะการที่เด็กอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี เด็กจะต้องมีอารมณ์ และทักษะทางสังคมที่ดี หรือที่เรียกว่า พัฒนาการดี เริ่มต้นจากอารมณ์ที่ดีนั่นเอง
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       "เก่ง ดี มีสุข หากเด็กมีเพียง เก่ง และ ดี แต่ไม่มีความสุข เด็กก็จะมีแต่ความกังวล มีแต่ความทุกข์ ทำให้2 คำแรกไม่สามารถพัฒนาเป็นคำที่ 3 คือความสุขได้ พ่อแม่จึงควรเลี้ยงลูกให้มีอารมณ์ดี เมื่อเด็กอารมณ์ดีก็จะมีความสุข ช่วยในเรื่องความฉลาดได้ ซึ่งจริงอยู่ที่ความฉลาดติดตัวเด็กมาตั้งแต่เล็ก แต่บางครั้งตัวเด็กก็ไม่ได้ใช้ความฉลาดของตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งเด็กจะใช้ความสามารถที่เขามีอยู่ได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อเด็กมีอารมณ์ดี" ศ.พญ.อลิสากล่าว
      
       ศ.พญ.อลิสา แนะทิ้งท้ายว่า สิ่งใกล้ตัวที่จะทำให้ลูกฉลาด และมีอารมณ์ดีได้ คือพ่อแม่ที่พร้อมจะมีลูก รักลูก รู้ใจลูก และเรียนรู้ว่าลูกตัวเองเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร ซึ่งต้องมีเวลาให้กับลูก เพื่อที่ลูกจะได้เรียนรู้ใจตัวเอง พร้อมกับจัดการได้อย่างลงตัว นอกนั้นเป็นเรื่องของเทคนิควิธีที่พ่อแม่จะต้องเรียนรู้จากผู้ใหญ่ จากคนรอบข้าง จากสื่อ และตัวช่วยอื่นๆ เช่น บุคคลทดแทน เวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ ต้องเป็นคนที่คล้ายคลึงกัน อาจจะเป็นปู่ย่าตายาย หรือเป็นญาติพี่น้อง และโยงต่อไปถึงการเลือกโรงเรียน การดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมของลูก ให้ลูกได้มีโอกาส ได้เรียนรู้ทุกอย่างที่ควรจะเรียนรู้ ได้ทำทุกอย่างที่เขาควรจะทำ แต่ไม่กดดันสิ่งที่ลูกทำไม่ได้ เมื่อเขาทำดีก็ชมเชย และคอยเฝ้าระวังปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งถ้ารู้ตั้งแต่เริ่มต้นก็จะแก้ไขได้ง่ายขึ้น
      
       "เรื่องสุขภาพ และอาหารการกินของลูก มีผลต่ออารมณ์ของลูกเช่นกัน พ่อแม่จึงควรเลือกกลุ่มของอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายหมู่ให้ลูกกิน อย่าให้เด็กกินอะไรเพียงอย่างเดียว ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีอาหารพิเศษเสริมให้บ้าง เพราะเมื่อได้กินดีเด็กก็จะอารมณ์ดี" ศ.พญ.อลิสาทิ้งท้าย

“ชินวรณ์” ดันเรียนฟรี 15 ปีขึ้นแท่นรัฐสวัสดิการ ฟุ้ง ปชช.พึงพอใจสูงสุด


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       “ชินวรณ์” เตรียมดันเรียนฟรี 15 ปี สู่นโยบายรัฐสวัสดิการ ฟุ้งนโยบายด้านการศึกษาก้าวหน้าสุด ชัดทั้งกฎหมาย-งบ ยิ้มไม่หุบ เผยประชาชนพึงพอใจ หลังพบเด็กได้หนังสือเรียนฟรีเพิ่ม โรงเรียนมีงบหนุนสนองตอบคุณภาพการศึกษามากขึ้น 
      
       วันนี้ (9 ส.ค.) นายชินวรณ์ บุณยเกียรติรมว.กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่าในปีการศึกษา 2554 นี้ รัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณโครงการเรียนฟรี เรียนดี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ จาก 73,000 ล้านบาท เป็น 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเติมงบประมาณในส่วนของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้มีมากขึ้น และนักเรียนจะมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการเรียนคอมพิวเตอร์ การเรียนภาษาต่างประเทศจากครูต่างชาติ การมีโอกาสไปทัศนศึกษานอกสถานที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนหนังสือเรียนฟรี ชุดนักเรียนก็ยังได้รับตามปกติ ทั้งนี้รัฐบาลต้องการยกระดับการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพขึ้นสู่การเป็นนโยบายรัฐสวัสดิการตามนโยบายของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี 
      
       “นโยบายรัฐสวัสดิการนั้นจะประกอบด้วยโครงการเรียนฟรี 15 ปี, โครงการค่าตอบแทนผู้สูงอายุ, โครงการการรักษาพยาบาลฟรี และ โครงการเรื่องกองทุนเงินออมแห่งชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นกระบวนการที่เรียกว่ารัฐสวัสดิการที่จะต้องมีกฎหมายมารองรับในกระบวนการช่วยเหลือประชาชนให้เป็นสิทธิตามกฎหมาย ที่ควรจะได้รับในการดูแลสวัสดิการพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา เรื่องสุขภาพ การดูแลผู้สูงอายุ” รมว.ศธ.กล่าว
      
       นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เรื่องการศึกษาถือเป็นเรื่องที่มีความก้าวหน้ากว่าโครงการอื่นอย่างชัดเจน และมีกฎหมายที่กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่ารัฐจะต้องจัดการศึกษาฟรี 15 ปีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และมีกระบวนการในการจัดตั้งงบประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏว่า ประชาชนมีความพึงพอใจ ประกอบกับ ศธ.มีนโยบายที่จะจัดโครงการนี้ให้มีประสิทธิภาพโดยการปรับให้เป็นโครงการเรียนฟรี โดยพบว่า การดำเนินงานปีนี้มีความก้าวหน้าเด็กได้รับหนังสือเรียนฟรีเพิ่มขึ้น และโรงเรียนมีงบประมาณที่จะจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้สามารถสนองตอบต่อคุณภาพทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้หากเป็นกระบวนการที่หากสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนก็จะเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างเต็มที่

ชวนกัน "ตักบาตรหนังสือ" อิ่มบุญทั้งแม่และลูก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
"พระศรีญาณโสภณ (ปิยโสภณ)"
       "การบุญ" เป็นการทำความดีหรือให้ทานแก่ผู้อื่น และสามารถทำได้หลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าใครจะสะดวกแบบไหนมากกว่า ซึ่งสมัยนี้การทำบุญทำได้ตั้งแต่การเดินทางไปที่วัด การทำบุญด้วยการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ รวมถึงการทำบุญด้วยการแบ่งปันสิ่งของให้กับผู้อื่นที่ขาดแคลน โดยเฉพาะการทำบุญด้วยหนังสือ หรือ "การตักบาตรหนังสือ" ที่เป็นการให้ทานแห่งปัญญาที่ส่งให้ได้อานิสงส์และผลบุญที่ยิ่งใหญ่ และถือว่าเป็นการทำความดีแบบง่ายๆ ที่ใครก็สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเด็กหรือว่าผู้ใหญ่หรือสามารถใช้เป็นกิจกรรมของครอบครัวได้
      
       "พระศรีญาณโสภณ (ปิยโสภณ)" ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กล่าวให้ความรู้เกี่ยวกับการทำบุญตักบาตรด้วยหนังสือว่า เป็นการตักบาตรที่ถวายอาหารสมอง อาหารทางปัญญาแด่พระสงฆ์ เพราะพุทธศาสนิกชนเคยถวายแต่ของที่เป็นอาหารทางร่างกายที่ช่วยให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ตามธรรมชาติของมนุษย์โลก หากร่างกายของเราอิ่มแล้ว แต่ใจของเรายังหิวอยู่ เราก็ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ การที่ร่างกายอิ่ม ดังนั้นใจของเราก็ต้องอิ่มตามไปด้วย ประเพณีการตักบาตรหนังสือจัดขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้อิ่มทั้งกายและอิ่มทั้งใจ การทำบุญด้วยหนังสือ ผู้กระทำจะได้อานิสงส์แห่งปัญญาที่ได้ช่วยชุบชีวิตของมนุษย์ให้อยู่ในสิ่งที่ดี เพราะเราได้ให้วิทยาทานกับผู้อื่นที่ด้อยโอกาส เปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดี และเป็นส่วนหนึ่งในการได้ให้ทรัพย์ที่มีคุณค่าให้แก่แผ่นดิน
      
       "การที่เราถวายข้าวปลาอาหารในการตักบาตรทั่วไปนั้น ก็จะช่วยให้พระสงฆ์ได้อิ่มท้อง แต่อาหารของสมองหรือจิตใจมันไม่ใช่กับข้าว หากแต่เป็นหนังสือที่จะให้ความรู้ วิชาการ ปรัชญา เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่ล้วนแต่ให้ความรู้จนเกิดปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่ยิ่งหย่อนกว่าอาหารทางร่างกาย เพราะการตักบาตรกับข้าวกับปลาร่างกายก็จะได้รับ แต่การตักบาตรหนังสือใจก็จะได้รับ ซึ่งนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ดี เมื่อเรามีจิตใจดี สิ่งต่างๆ ที่มันออกมาจากตัวของเรามันก็จะดีตามไปด้วย ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องให้คนเราอิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจ"
สินใจ เปล่งพาณิชย์กับลูกชาย
       สำหรับการตักบาตรหนังสือ พระศรีญาณโสภณ กล่าวแนะนำว่า เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรสอนให้กับลูกๆ อย่างยิ่งเพราะนับวันเด็กและเยาวชน เริ่มเดินออกห่างจากศาสนามากขึ้นทุกที และควรสอนให้เด็กรู้จักการการทำบุญตักบาตร เพื่อให้รู้ว่าการทำบุญตักบาตรสามารถทำได้หลากหลาย ไม่เฉพาะการทำบุญถวายภัตตาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถถวายเป็นสิ่งของอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้ด้วย ทั้งนี้การทำบุญตักบาตรจะสอนให้พวกเขารู้จักการกระทำความดี และที่สำคัญเด็กๆ จะได้เรียนรู้การให้ที่เป็นปัญญาบารมี รู้จักการสร้างบารมี และเรียนรู้การให้ที่ยืนยาว เพราะการทำบุญด้วยหนังสือเป็นการให้ปัญญาที่สามารถติดตัวผู้รับไปได้ตลอดชีวิต
      
       สอดคล้องกับ คุณแม่สินใจ เปล่งพาณิชย์ ที่เธอบอกว่า พาลูกๆ เข้าวัดตั้งแต่ลูกยังเล็ก ส่วนการตักบาตรหนังสือไม่เคยได้ทำกัน แต่คิดว่าเป็นส่งที่ดีมาก ซึ่งปกติแล้วเธอชอบอ่านหนังสือเป็นประจำ ด้วยหน้าที่การงานทำให้ต้องอ่านหนังสือจำนวนมากหลากหลายประเภท พูดได้ว่าอ่านทุกแนว และทุกครั้งที่ได้อ่านหนังสือที่ทำให้รู้สึกดีเกิดความประทับใจ ก็อยากจะส่งต่อความสุขนี้ให้กับคนอื่นๆ ได้อ่านบ้าง เพราะเชื่อว่าต้องมีสักคนที่เขาอ่านแล้วจะอมยิ้มเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มที่เธอเคยประทับใจ
      
       "บางครั้งที่อ่านหนังสือและรู้สึกมีความสุข มีความรู้สึกที่ดีเกิดขึ้นก็อยากจะส่งต่อความสุขนี้ให้กับคนรอบๆ ข้างได้ลองอ่าน ยิ่งเป็นคนที่เขาขาดแคลนหนังสือ เมื่อเขาได้รับการหยิบยื่นโอกาสที่ดีนี้ให้ เชื่อว่าไม่ใช่แค่ความประทับใจที่อยู่ในหนังสือที่เราส่งต่อให้กับเขา แต่มันจะมีความรู้สึกดีจากการให้ด้วย และอยากให้ทุกๆ คนมาร่วมกันตักบาตรหนังสือกัน เพราะเป็นการทำบุญที่ได้ให้ปัญญากับคนอื่น หรือถ้าใครไม่มีโอกาสมาร่วมตักบาตร ก็สามารถทำได้โดยการบริจาคหนังสือให้กับคนที่เขาขาดแคลนและยังรอคอยโอกาสนั้นอยู่"
"วรพันธ์ โลกิตสถาพร"
       เช่นเดียวกับ "วรพันธ์ โลกิตสถาพร" กรรมการผู้จัดการบริษัทสถาพรบุ๊คส์ จำกัด ผู้ที่คว่ำหวอดในวงการหนังสือและเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้มีการตักบาตรหนังสือ บอกว่า ปัจจุบันคนไทยอ่านหนังสือกันน้อยลง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ ฉะนั้นในฐานะคนทำหนังสือก็ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบในการนำเสนอให้เข้ากับความต้องการของผู้อ่าน และดีใจที่เด็กๆ บางกลุ่มหันมาอ่านหนังสือธรรมมะ หวังว่าคนไทยจะให้ความสนใจอ่านหนังสือธรรมะและหันหน้าพาลูกหลานเข้าวัดกันมากขึ้น
      
       นอกจากนั้น ยังมีเด็กรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญในการทำบุญตักบาตรหนังสือ อย่าง "น้องนาถ-ยุวนาถ อาระยานิมิตสกุล" ที่มาพร้อมกับคุณแม่จินดาวรรณ ซึ่งเธอเล่าว่า เคยตักบาตรหนังสือมาแล้ว ทำให้รู้สึกว่าการตักบาตรหนังสือเป็นประเพณีที่ดี และควรช่วยกันส่งเสริมและอนุรักษ์ไว้ เพราะแทนที่เราจะตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ แต่เป็นการตักบาตรความรู้ให้พระสงฆ์ได้รับหนังสือ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาเล่าเรียนพระธรรม และนำความรู้ที่ได้กลับมาสั่งสอนและเทศนาให้กับพุทธศาสนิกชนฟัง เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
      
       "อยากให้ทุกคนมาร่วมทำบุญกัน เพราะมันช่วยให้เรามีสติและมีสมาธิมากขึ้น ปกติที่บ้านนาถกับคุณแม่ก็จะทำกิจกรรมด้วยกันโดยการเข้าวัดทำบุญเป็นประจำ ซึ่งมันสามารถช่วยหล่อหลอมจิตใจให้เรามีความอ่อนโยน และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของคนหมู่มากได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยจากอันตราย" น้องนาถทิ้งท้าย
      
       สำหรับบ้านไหนที่สนใจไปร่วมสัมผัสการทำบุญ "ตักบาตรหนังสือ" ก็สามารถไปได้ที่วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาตินี้ ลูกๆ คนไหนยังไม่มีโปรแกรมพาคุณแม่ไปเที่ยวพักผ่อนก็สามารถชวนท่านเข้าวัดตักบาตรหนังสือกันได้ค่ะ นอกจากนั้น หนังสือที่ได้จากการตักบาตรในครั้งนี้จะส่งต่อไปให้พระภิกษุและสามเณรในต่างจังหวัดที่ขาดแคลนอีกด้วย