วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผลวิจัยแนะกินปลาสัปดาห์ละครั้ง ลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อม


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
การกินปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 สูงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ช่วยลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
       เอเจนซี – ผลศึกษาจากอเมริการะบุผู้สูงวัยที่กินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง อาจลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
      
        งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ในบัลติมอร์ ไม่ได้พิสูจน์ว่าการกินปลาลดความเสี่ยงในการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม (เอเอ็มดี) แต่บอนไนลิน เค. สวีเนอร์ นักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การค้นพบนี้ตอกย้ำงานวิจัยในอดีตที่แสดงให้เห็นว่า คนที่กินปลามีแนวโน้มมีอัตราการเป็นโรคเอเอ็มดีน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยกินปลา
      
        งานศึกษาที่อยู่ในวารสารออปทัลโมโลจี้ยังสนับสนุนทฤษฎีที่ว่า กรดไขมันโอเมกา-3 ที่ส่วนใหญ่พบในปลาที่มีไขมันอย่างซัลมอน แมกเคอเรล และอัลบาคอร์ทูนานั้น อาจมีผลต่อพัฒนาการหรือความคืบหน้าของโรคเอเอ็มดี
      
        อย่างไรก็ดี สวีเนอร์สำทับว่าแม้การศึกษาปัจจุบันบ่งชี้ว่า อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมกา-3 อาจลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเอเอ็มดีของผู้ป่วยบางคนได้ แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม
      
        ในการศึกษานี้ สวีเนอร์และทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างอายุ 65-84 ปี ที่เข้ารับการตรวจสายตาและทำแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินอาหารอย่างละเอียด จำนวน 2,520 คน
      
        ผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่าง 15% มีอาการเอเอ็มดีระยะต้นหรือระยะกลาง แต่มีแค่ 3% อยู่ในขั้นรุนแรง ขณะที่คนที่กินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งมีแนวโน้มมีอาการเอเอ็มดีขั้นรุนแรงน้อยกว่าคนที่กินปลาเฉลี่ยไม่ถึงสัปดาห์ละครั้งถึง 60%
      
        โดยรวมแล้วนักวิจัยไม่พบความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างการกินปลากับความเสี่ยงในการเป็นโรคเอเอ็มดีของกลุ่มตัวอย่าง แต่พบความเชื่อมโยงระหว่างการกินปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 สูง กับความเสี่ยงในการเป็นเอเอ็มดีขั้นรุนแรง
      
        เอเอ็มดีเกิดจากเส้นเลือดหลังจอประสาทตาขยายผิดปกติ และเป็นสาเหตุหลักของอาการตาบอดในผู้สูงวัย
      
        เอเอ็มดีเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา แต่การบำบัดบางวิธีอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการสูญเสียการมองเห็นขั้นรุนแรงได้
      
        การศึกษาของรัฐบาลสหรัฐฯ พบว่าการรวมสารต่อต้านอนุมูลอิสระบางตัว เช่น วิตามินซีและอี เบตาแคโรทีนกับสังกะสี อาจชะลออาการเอเอ็มดีในระยะกลางได้ และขณะนี้แพทย์ได้สั่งสารต่อต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ให้คนไข้แล้ว
      
        ปลาหรือโอเมกา-3 สามารถหยุดยั้งความคืบหน้าของเอเอ็มดีได้หรือไม่ยังเป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน แต่ขณะนี้กำลังมีการขยายผลรายงานของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อค้นหาว่าการเพิ่มน้ำมันปลา และสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างลูทีนและซีแซนทีน ในอาหารเสริมดั้งเดิม จะทำให้ประโยชน์ในการต่อต้านเอเอ็มดีเพิ่มขึ้นหรือไม่

ไม่ต้องทนเจ็บจี๋ดั่งเตารีดจี้บนใบหน้า ด้วยคลื่นวิทยุยกหน้ารุ่นล่า!


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
       By Lady Manger
      
       สาวน้อยสาวใหญ่ผู้นิยมสวยด้วยเทคโนโลยีทั้งหลาย ล้วนคุ้นกันดีกับ เทอร์มาจ (Thermage) อันขึ้นชื่อเรื่องการยกกระชับผิวหน้า เรียกว่าเข้ามาแทนการผ่าตัดยกกระชับใบหน้าไปเล้ย
      
       
ทว่าสาวๆ จำนวนไม่น้อยกลับต้องถอยห่าง เพราะ ‘เข็ด’ ‘ขยาด’ ‘กลัว’ ความร้อนจากเจ้าเครื่องเทอร์มาจที่เวลาจี้บนใบหน้านั้น แสนแสบร้อน เจ็บจี๊ดๆ เข้าไปถึงกระดูก สาวนางหนึ่งผู้ผ่านการทำเทอร์มาจมาแล้ว เปรียบเทียบความรู้สึกขณะทำให้ฟังว่า “เหมือนถูกเตารีดจี้บนใบหน้า”
      
       
จากจุดด้อยนี้ เทอร์มาจจึงพัฒนารุ่นใหม่ขึ้นมา ที่ไม่ทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บจี๋ ร้อนจี๊ด อีกต่อไปแล้ว
       เราไปรู้จักการทำงานของเจ้าเทคโนโลยีความงามที่ไม่เคยหยุดนิ่งตัวนี้ บุคคลผิวพรรณจำพวกไหน ที่เหมาะกับการทำเทอร์มาจ พร้อมขั้นตอนการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการทำเทอร์มาจ ฯลฯ กับคุณหมอวรพจน์ ศิรามังคลานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเลเซอร์ผิวพรรณและความงาม แห่ง Hertitude Clinic ค่ะ
      
       
“เทอร์มาจเป็นเรียกทางการค้าที่รู้จักติดปากกันที่สุด ถ้าชื่อจริงๆ เลย Monopolar Radio Frequencyเป็นคลื่นวิทยุครับ”
      
       
ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์ภายใต้ชื่อเทอร์มาคูล (Therma Cool TM ) โดยบริษัท Thermage ประเทศสหรัฐอเมริกา และผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ
      
       
“เรามักคุ้นเคยกับการทำเลเซอร์ เป็นการใช้แสงที่ความถี่เดียว ใช้ความเข้มข้นของแสงเป็นหลัก แต่เทอร์มาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ” หมอวรพจน์ยกเรื่องเลเซอร์ขึ้นมา เพื่อให้เห็นความต่าง และเข้าใจเทอร์มาจได้ง่ายยิ่งขึ้น
      
       
“เทอร์มาจใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ คือ จริงๆ แล้ว คลื่นวิทยุมีหลายความถี่ FM, AM แต่ที่ใช้ในเทอร์มาจเป็นความถี่เฉพาะมายกหน้า เป็น Volumetic Heating ทำให้เกิดปรากฏการณ์ 2 อย่าง หนึ่ง-ทำให้ออกซิเจนที่อยู่ใต้ผิวเกิดการหดตัว ผิวกระชับขึ้น ความชุ่มชื่นเกิด สอง-ความร้อนที่สูงไปกระตุ้นใต้ผิวให้สร้างคอลลาเจน (Collagen) อีลาสติน (Elastin) ใหม่ขึ้นมามากมาย ทำให้ผิวกระชับขึ้นเรื่อยๆ เป็นกระบวนการกระตุ้นตัวเองใน 6 เดือน”
      
       
นั่นคือ เหตุผลว่าทำไมเทอร์มาจได้รับความนิยม นอกจากไม่ต้องเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดยกหน้า ว่าอาจออกมาสองข้างอาจไม่เท่ากัน ผ่าวันนี้ พรุ่งนี้บวม บวกไปอีกสองอาทิตย์ถึงค่อยยุบและสวย…
      
       
“เทอร์มาจยังให้ผลออกมาเลยประมาณ 20% แต่ผลจะดีขึ้นเรื่อยๆ ภายใน 6 เดือน ซึ่งดูเป็นธรรมชาติ ไม่มีใครรู้ คนไข้จะชอบมาก เพราะไม่มีใครสังเกตได้ว่าเค้าไปทำอะไรมา เค้าจะค่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ”
      
       
ดังนั้น พิธีกรหลายคนที่ต้องออกหน้าจอทีวีทุกวัน จึงโปรดปรานเทคโนโลยีนี้มาก เพราะไม่ต้องลางาน หากจะค่อยๆ สวยขึ้น ดูหน้าเด้งกระชับเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เราจะรู้สึกเออ ผู้ดำเนินรายการคนนี้สวยขึ้นนะ
      
       
ทว่าปัญหาคือ กว่าจะสวยยกกระชับเยี่ยงนี้ ต้องทำใจ ยอมทรมานทนเจ็บขณะทำ
       “ถ้าใครที่ทำเทอร์มาจเมื่อหลายปีมานี้ หรือแม้กระทั้งปีที่แล้ว คนที่ทำจะบอกเลยว่า ‘ต้องทำใจ’ ที่บอกว่ามีเคยทำแล้วบอก ‘เหมือนถูกเตารีดจี้บนใบหน้า’ ผมว่าคงไม่ได้เว่อร์หรอกครับ เพราะมันร้อนมาก ไม่ burn นะครับ มันจะจี๊ดๆ ใต้ผิว เป็น deep heat ร้อนลึกๆ ใต้ผิว มันจะเจ็บมากครับ” หมอเล่าประสบการณ์
      
       
“มีเหมือนกันแบบไม่ไหววิ่งออก ต้องยิง 900 shot ใช่มั้ยครับ ปรากฏว่ายิงไปแค่ 100 shot โดดลงจากเตียง วิ่งกลับบ้านไปเลย” (โดยทั่วไปใช้สรรพนามในการยิงเทอร์มาจแต่ละจุดแต่ครั้งว่า ‘shot’ จุดหนึ่ง shot หนึ่ง ใช้เวลาเพียง 3-5 วินาที)
      
       
โชคดี มีเทอร์มาจรุ่นใหม่ออกมา
      
       
“เรียกว่า เทอร์มาจ CPT ย่อมาจาก Comfort Pulse Technology ต่างกับของเดิมในแง่ประสิทธิภาพ ทำให้เจ็บน้อยกว่า โดยปรับรูปแบบที่โดนผิวให้ลึกและสม่ำเสมอมากขึ้น ส่งพลังงานได้เยอะกว่า ทั้งที่ใช้พลังงานจริงๆ น้อย เหมือนหม้ออบความดัน ข้างนอกไม่ร้อน ข้างในร้อนมาก ซึ่งการใช้พลังงานน้อยส่งผลให้ผิวส่วนบนถูกปกป้อง
      
       
ประสิทธิภาพจะดีกว่าเทอร์มาจรุ่นก่อนประมาณ 5 เท่า ก็สวยกว่ารุ่นเดิมทำ 5 เท่า ลงไปได้ลึกกว่า พลังงานสูงกว่า
      
       
ความต่างอีกประการในแง่ความสบายของคนไข้ ปกติเทอร์มาจจะมีพ่นสเปรย์เย็น เพื่อให้คนไข้รู้สึกสบาย จะพ่นแล้วยิง พ่นแล้วยิง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใน 35 วินาที คนไข้จะไม่รู้หรอกว่าพ่นยังไง รู้สึกแต่ว่ามีอะไรเย็นๆ มา และร้อนๆ ตาม แต่เทอร์มาจตัวใหม่นี้ เพิ่มพ่นเย็นนี้อีก 5 pulse ระหว่างการยิง
      
       
คือ พ่น Cryogen Spray เป็น Miniburst ระหว่างการยิงเทอร์มาจอีก 5 ครั้ง ก็จะรู้สึกสบายมากยิ่งขึ้น
      
       
และที่ทำให้เจ็บน้อยลง เนื่องจากเค้ามีระบบการสั่นทะเทือน (Vibration) ร่างกายเราไม่ฉลาดเท่าเรา คือ ร่างกายเราจะรู้สึกร้อนเย็น เจ็บสั่น กดทับ พอระบบสั่นเข้ามา ร่างกายเราก็จะไปรับรู้เรื่องการสั่นมากขึ้น แล้วลืมเจ็บไป
      
       
เส้นประสาทคนไข้จะมาโฟกัสกับเรื่องสั่น เลยลืมเรื่องความเจ็บขณะทำ จึงทำให้เครื่องนี้เจ็บน้อยมาก รู้สึกแค่อุ่นๆ เล็กน้อย แต่ประสิทธิภาพดีขึ้นเยอะมาก”
      
       
เจ้าเทอร์มาจ CPT ให้คุณเจ็บน้อยลงจริงหรือเปล่า ต้องไปพิสูจน์กันเองค่ะ ทว่าสนนราคาดาว์นรถได้เลยนะคะ
      
       
“โดยเฉลี่ยราคาขึ้นอยู่กับ shot ที่คนไข้ใช้ ตั้งแต่ 5 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท ถามว่าต่างกันตรงไหน อย่างเช่น บางท่านมีปัญหาเฉพาะแค่รอบดวงตา ใช้ shot น้อย ประมาณ 300 shot ราคาก็ประหยัด แต่บางคนทำทั่วใบหน้าและลำคอ ประมาณ 900 shot
      
       
มากที่สุดคือ 1,200 shot เป็นเรื่องของตัวแล้ว ผมไม่ทราบว่าคนไทยกังวลมากรึเปล่า แต่ถ้าเป็นฝรั่งแก่เขากังวลกันมาก เข่าหย่อน, หน้าท้อง, สะโพก, ต้นขา และมือ ทำเพื่อให้ใส่แหวนสวย”
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต ซ้ายสุด-ก่อนทำ, กลาง-หลังทำ 6 เดือน, ขวาสุด-หลังทำ 13 เดือน
       หมอวรพจน์เจ้าของใบหน้าใส๊ใสกล่าวว่า คนไทยส่วนใหญ่ทำหน้า
      
       
“ก็ 900 shot สิ่งที่ได้อย่างแรกคือ ตาโตขึ้น หนังตาสองชั้นยกสูงขึ้น อย่างที่สองคือ ถุงใต้ตา-ริ้วรอยใต้ตาลดลง อย่างที่สามคือ ร่องแก้มที่ลึกจะตึงขึ้นและเล็กลง อย่างที่สี่คือ บริเวณคาง ผู้หญิงอายุมากเริ่มคางคล้อย มันก็กระชับขึ้น รวมทั้งคอที่มีริ้วรอย สามารถทำให้ดูเนียนขึ้นได้”
      
       
ถึงราคาสูงลิบ แต่สาวรวยจำนวนมากนิยมทำ เพราะ ‘คุ้ม’ อยู่ได้นาน 1-2 ปี
      
       
“ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของคนไข้ด้วยครับ เป็นการดูแลผิวทั่วไปคือ หนึ่ง-แสงแดด ตัว UVA เป็นปัจจัยให้เกิดภาวะริ้วรอยก่อนวัย สอง-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ เพียงพอ ผิวเราก็จะคงสภาพ สาม-การพักผ่อน ผิวก็เหมือนร่างกายเรา ถ้าขาดการพักผ่อน ก็ดูซีดเซียว ขาดน้ำ มีริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย สี่-ดื่มน้ำ ไม่ใช่น้ำหวานนะครับ ดื่มให้ได้วันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้ผิวเราชุ่มชื่นตลอดเวลา คนไทยเราไม่ค่อยสนใจเพราะเราอยู่ในเมืองร้อน คิดว่าผิวไม่แห้ง
      
       
สิ่งต้องหลีกเลี่ยง หนึ่ง-ความเครียด สอง-บุหรี่ โดยเฉพาะทำให้เกิดรอยรอบปาก สาม-แอลกอฮอลล์ สังเกตไหมว่า ถ้าช่วงไหนไปแฮงค์เอ้าท์ (hang out) เยอะๆ ตื่นมาหน้าจะแห้ง ผิวจะซีดเซียว เพราะผิวจะเกิดปรากฏการณ์ที่ขาดน้ำ น้ำออกจากผิวหมด”
      
       
น่าสนใจว่า หมอกล่าวถึง กลุ่มบุคคลที่เหมาะสมแก่ทำเทอร์มาจ ไม่ใช่ใครนึกอยากทำก็ไปทำนะคะ
      
       
“คนที่เคยอ้วนมาก่อน ลดน้ำหนักเร็วๆ หรือคนเพิ่งคลอดบุตรมา กลุ่มคนเหล่านี้ผิวหนังหย่อนคล้อย ก็สามารถทำเทอมาจให้กระชับ และเป็นกลุ่มคนไข้ที่ผิวหย่อนคล้อยน้อยถึงปานกลาง อายุในช่วง 35 - 65 ปี”
      
       
พูดชัดๆ คนอายุ 65 ปีขึ้น คุณภาพของผิวเสื่อมแล้ว ไม่ต้องไปเสียตังค์ยิงหรอกค่ะ เพราะยิงเท่าไรก็ไม่ตึงขึ้นมา
      
       
“คนไข้อีกกลุ่มที่ไม่น่าทำเทอร์มาจคือ คนที่ตากแดดเยอะๆ ทำแทนนิ่ง (tanning ทำผิวสีเข้ม) บ่อยๆ เพราะแสงแดดทำให้เส้นใยอีลาสตินเสียไปหมดแล้วครับ ยิงเทอร์มาจไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร”
      
       
ค่ะ เจ้าเทอร์มาจ CPT เป็นอีกนวัตกรรมเพื่อการยกกระชับใบหน้า ผิวหนังหย่อนคล้อย ตัวล่าราคาแพง ตาคุ้มซึ่งประสิทธิภาพและระยะเวลา
      
       
จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของสาวกระเป๋าหนัก!

       
      
       
>>
 อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
        

วิจัยพบ "เด็กเป็นเบาหวานชนิดที่ 2" เสี่ยงกระทบสมอง-ความจำ


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
       คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอ้วนจ้ำม่ำจนเกินพอดี อาจต้องร้อน ๆ หนาว ๆ เมื่อได้อ่านข่าวนี้ เมื่อมีการวิจัยพบว่า เด็กกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และหากเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ขึ้นมา ก็จะมีผลต่อการทำงานของสมอง และด้านความจำของเด็กด้วย
ขอบคุณภาพจาก whyy.org
       ดร.อันโตนิโอ คอนวิท ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชจาก Langone Medical Center มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า "ในอดีต เมื่อเอ่ยถึงเบาหวาน เรามักจะพูดถึงความเสียหายที่เกิดกับอวัยวะเช่น ดวงตา ไต เท้า แต่ตอนนี้ เราพบด้วยว่า การเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กนั้น มีโอกาสทำให้สมองของเด็ก ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา เกิดความเสียหายได้เช่นกัน"
      
       "เป็นไปได้ว่า โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดกับเด็กนั้นส่งผลต่อสมอง โดยเฉพาะการนำเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมอง"
      
       เพื่อการนี้ ทีมนักวิจัยได้ทำการศึกษาผลกระทบที่เกิดกับสมองของผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในด้านการรับรู้ และความจำ โดยเปรียบเทียบระหว่างเด็กอ้วน 18 คนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กับเด็ก 18 คนที่อ้วนแต่ไม่เป็นโรคเบาหวาน พวกเขาพบว่า เด็กที่เป็นโรคเบาหวานทำคะแนนในหัวข้อการมีสมาธิ ความจำ และการวางแผนต่ำกว่าเด็กอีกกลุ่ม และเมื่อทดสอบไอคิว ยังพบว่า เด็กที่เป็นเบาหวานมีไอคิวต่ำกว่าด้วย
      
       สำหรับเด็กที่เป็นโรคเบาหวานนั้น ในอดีตมักจะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 กันเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันกลับเปลี่ยนไป เนื่องจากเด็ก ๆ ทุกวันนี้ขาดการออกกำลังกาย อีกทั้งยังรับประทานอาหารไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการจนทำให้ร่างกายอ้วนท้วนเกินพอดี นั่นส่งผลให้เด็ก ๆ เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 กันมากขึ้น
      
       อย่างไรก็ดี ข่าวดีสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองก็คือ หากเด็กผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มนี้หมั่นออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก อาการดังกล่าวก็จะดีขึ้นได้ แต่ถ้ายังปล่อยเอาไว้ อาการที่พบก็จะรุนแรงมากขึ้น
      
       "จากจำนวนเด็กที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ อาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ในปัจจุบันเริ่มมีคุณภาพชีวิตต่ำลง เพราะชีวิตพวกเขาอยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย ไม่มีอิสระในชีวิตอย่างแท้จริง"
      
       อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์โรเจอร์ เอ. ไดซอน อาจารย์ด้านจิตเวชจากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ต้าในแคนาดา ก็ได้ให้ความเห็นว่า งานวิจัยนี้เป็นเพียงปฐมบทของการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเบาหวานในเด็ก (ที่มีผลกระทบต่อการทำงานของสมอง) และยังต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อศึกษาผลของเบาหวานที่กระทบต่อสมองทั้งในเด็ก วัยรุ่น และคนชราให้กระจ่างกว่านี้
      
       เรียบเรียงจากเฮลท์เดย์นิวส์