วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

360 องศา: วิจัยชี้ อดอาหารเช้าบ่อยๆเสี่ยงเป็น “โรคหัวใจ”


ผลวิจัยล่าสุดระบุว่า การไม่รับประทานอาหารเช้าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
       เอเจนซี - ผลวิจัยล่าสุดเผย ผู้ที่อดอาหารเช้าเป็นประจำมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหัวใจ
       
       การศึกษาพบว่า ผู้ที่ออกไปทำงานโดยปล่อยให้ท้องว่างมักเป็นโรคอ้วน, เกิดการสะสมของไขมันหน้าท้อง และมีระดับโคเลสเตอรอลสูง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจทั้งสิ้น
       
       นอกจากนี้ การไม่รับประทานอาหารเช้ายังทำให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยโรคเบาหวานในอนาคต
       
       ผลการศึกษาระบุว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดคือผู้ที่ออกจากบ้านโดยไม่รับประทานอาหารเช้าตั้งแต่เด็ก และติดนิสัยดังกล่าวมาจนถึงวัยผู้ใหญ่
       
       ผลการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการอเมริกันเผยว่า ผู้ที่ไม่รับประทานอาหารเช้าตั้งแต่เด็กจนล่วงเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเริ่มปรากฎอาการของโรคหัวใจตั้งแต่อายุ 20 ตอนปลายเป็นต้นไป
       
       นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขานิยมรับประทานขนมและอาหารที่มีน้ำตาลสูง แต่มีใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุน้อย ทั้งยังขาดการออกกำลังกาย
       
       อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่าการงดอาหารเช้าสามารถเปลี่ยนระบบสะสมไขมันของร่างกายได้เช่นกัน
       
       คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแทสเมเนีย ซึ่งทำการศึกษาจากอาสาสมัคร 2,184 คนในระยะเวลา 20 ปีเปิดเผยว่า การอดอาหารเช้าจะทำให้คนเรารับประทานอาหารตามเวลาปกติน้อยลง
       
       ด้าน แคทเธอรีน คอลลินส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการระบุว่า การไม่รับประทานอาหารเช้าเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่สับสนและเสียสุขภาพ


ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

360 องศา: ฤกษ์ผานาทีมีผลต่ออารมณ์คน6โมงเย็นผู้ชายว่าง่ายเป็นพิเศษ


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
โพลแนะผู้หญิงรอจนแดดร่มลมตกค่อยอ้อนแฟน ส่วนผู้ชายอย่าทะเลาะกับผู้หญิงตอนบ่ายสามเด็ดขาด

เอเจนซี - ผู้หญิงอาจไม่ได้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ถ้ารู้จักอดทนรอจนถึง 6 โมงเย็น นั่นเป็นเวลาที่ผู้ชายมีแนวโน้มโอนอ่อนผ่อนปรนตามใจคนรักมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเอาขยะไปทิ้ง ทริปโรแมนติกช่วงวีกเอนด์ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น
       
       ส่วนผู้ชายควรเลี่ยงการมีปากเสียงกับแฟนช่วงบ่าย เพราะเชื่อขนมได้ว่าอย่างไรเสียมีแต่แพ้กับแพ้
       
       เนื่องจากบ่ายสามโมงเย็นเป็นเวลาดีที่สุดที่ผู้หญิงจะเถียงชนะ ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นชาย-หญิงกว่า 1,000 คนที่จัดทำโดยไบเออร์ เชริง ฟาร์มา ผู้ผลิตยาคุมกำเนิดยักษ์ใหญ่
       
       ส่วนเมื่อเป็นเรื่องของการขอขึ้นเงินเดือน คำแนะนำสำหรับผู้หญิงคืออย่ารีบร้อนเข้าหาเจ้านายตั้งแต่เช้า แต่ควรอดใจรอจนถึงบ่ายโมง เพราะเป็นช่วงที่ผู้จัดการไม่ว่าชายหรือหญิงมีแนวโน้มรับฟังข้อเรียกร้องของพนักงานมากที่สุด
       
       นอกจากนั้น ผู้หญิงอาจดีใจว่าเพศของตนไม่ใช่เพศเดียวที่ได้รับผลจาก ‘อารมณ์แปรปรวน’ แต่ผู้ชายก็เป็นเหมือนกัน
       
       86% ของชาย-หญิง 1,019 คนในการสำรวจรับรู้ว่าอารมณ์ของตัวเองแปรปรวน แต่มีไม่ถึงครึ่งที่คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์นี้
       
       ผลสำรวจบ่งชี้ว่า การรับรู้จังหวะชีวิตหรือจังหวะตามธรรมชาติของร่างกาย อาจทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการมากขึ้น
       
       อารมณ์อาจเป็นผลจากฮอร์โมน รวมถึงจากยาคุมกำเนิด ความเครียด อาหาร และเครื่องดื่มมึนเมา
       
       อีวี เบนท์ลีย์ นักจิตบำบัดที่สนใจเกี่ยวกับจังหวะชีวิตเป็นพิเศษ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แต่ละวงจรของจังหวะชีวิตควบคุมโดยสมอง ที่ควบคุมฮอร์โมนและปริมาณฮอร์โมนที่ผลิตออกมาเพื่อให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างสมดุล
       
       “คนเราจะรู้สึกถึงสภาพร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์จากจังหวะชีวิต
       
       “ตัวอย่างเช่นฮอร์โมนในร่างกายของเราสามารถมีผลต่ออารมณ์ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการเลือกยาคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตัวคุณและสอดคล้องกับจังหวะตามธรรมชาติของคุณ”
       
       อนึ่ง จากผลสำรวจเมื่อต้นปีพบว่า ผู้หญิง 2 ใน 3 ชอบเจ้านายผู้ชายมากกว่าเจ้านายผู้หญิง เพราะเจ้านายผู้ชายพูดจาตรงไปตรงมา ทำให้คุยด้วยได้ง่าย อีกทั้งยังไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่มีอารมณ์แปรปรวน หรือพาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับการเมืองในออฟฟิศ
       
       และจากการสอบถามความคิดเห็นชาย-หญิง 3,000 คนชิ้นเดียวกันนี้ที่จัดทำโดยยูเคจ็อบส์ ผู้ชาย 3 ใน 4 เห็นด้วยว่าชอบทำงานกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
       
       ผู้หญิง 1 ใน 4 ยังกล่าวหาเจ้านายเพศเดียวกันว่าชอบแทงข้างหลังและนำเรื่องส่วนตัวมาวุ่นวายในที่ทำงาน และโดยรวมแล้วกลุ่มตัวอย่าง 1 ใน 3 เห็นว่าผู้หญิงที่มีอำนาจมักมีพฤติกรรมที่คาดเดาลำบากและควบคุมไม่ได้ และมักรู้สึกว่าตัวเองถูกคุกคามจากเพื่อนร่วมงาน


ที่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์

360 องศา: ผลวิจัยชี้น้องหมามี ‘คิดบวก-ลบ’


นักวิจัยพบว่าหมามีทั้งมองโลกแง่ร้ายและแง่ดีเหมือนคน
       เอเจนซีส์ – ถ้าเจ้าหมาหงุดหงิดเมื่อคุณเดินออกจากบ้าน แปลว่ามันอาจมองโลกแง่ร้าย งานวิจัยเมืองผู้ดีแสดงให้เห็นว่าสุนัขบางตัวเชื่อว่ามีน้ำอยู่ครึ่งชาม ขณะที่บางตัวเชื่อว่าน้ำพร่องไปครึ่งชาม เช่นเดียวกับคนเรา
       
        ดังนั้น น้องหมาที่มองโลกแง่ดีโดยธรรมชาติจึงมั่นใจว่าเจ้าของจะกลับมา ในทางกลับกัน น้องหมาที่มองโลกแง่ร้ายจะคิดว่าตัวเองถูกทิ้ง
       
        แม้การค้นพบว่าเจ้าตูบมีลักษณะนิสัยหลายอย่างเหมือนมนุษย์อาจไม่ได้ทำให้เจ้าของแปลกใจ แต่นักวิจัยบอกว่าผลศึกษานี้สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมสัตว์บางตัวจึงยังมีความสุขแม้ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ขณะที่บางตัวกังวลเมื่อต้องอยู่ตัวเดียว
       
        “เราสามารถใช้การค้นพบจากการวิจัยด้านจิตวิทยามนุษย์มาพัฒนาแนวทางในการตรวจวัดอารมณ์ของสัตว์
       
        “เรารู้ว่าสภาวะอารมณ์ของคนเรามีผลต่อวิจารณญาณ และคนที่มีความสุขมีแนวโน้มตัดสินสถานการณ์คลุมเครือในแง่บวก
       
        “การศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า รูปแบบนี้ใช้ได้กับสุนัขเช่นเดียวกัน นั่นคือสุนัขที่เชื่อว่ามีน้ำอยู่ครึ่งแก้วมีแนวโน้มกังวลเมื่อต้องอยู่ตัวเดียวน้อยกว่าสุนัขที่มองโลกแง่ลบ” ศาสตราจารย์ไมค์ เมนด์ จากกลุ่มวิจัยพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของสัตว์ มหาวิทยาลัยบริสตอลของอังกฤษ ผู้นำการวิจัย อธิบาย
       
        ทีมนักวิจัยศึกษาสุนัข 24 ตัวในศูนย์ช่วยเหลือสุนัขจรจัด 2 แห่ง ขั้นตอนแรกสุนัขแต่ละตัวจะถูกประเมินว่ามีความกังวลเมื่ออยู่ตัวเดียวหรือไม่ โดยดูจากพฤติกรรม เช่น การเห่า ทำลายข้าวของ รือขีดข่วนประตู
       
        จากนั้น สุนัขทุกตัวจะถูกฝึกให้คาดหวังว่าเมื่อชามถูกนำไปวางในจุดหนึ่งในห้อง จะมีการเติมอาหารในชามนั้น แต่เมื่อนำไปวางอีกที่ ชามจะว่างเปล่า
       
        หลังจากที่สุนัขเรียนรู้ว่ามีเพียงบางชามเท่านั้นที่มีอาหาร นักวิจัยจะนำชามไปวางในจุด ‘กึ่งกลาง’ ในห้อง
       
        สุนัขที่วิ่งไปหาชามใบนั้นเพราะคาดว่าจะมีอาหารถือว่ามองโลกแง่ดี แต่สุนัขที่ไม่สนใจชามใบนั้นถือว่ามองโลกแง่ร้าย และนักวิจัยพบว่าสุนัขที่กังวลเมื่ออยู่ตัวเดียวมีแนวโน้มมองโลกแง่ลบมากกว่า
       
        อนึ่ง การศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากอาร์เอสพีซีเอ มูลนิธิส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ในอังกฤษและเวลส์ และเผยแพร่อยู่ในวารสารเคอร์เรนต์ ไบโอโลจี้


ที่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อาหารเช้า....สำคัญไฉน




ใครๆ ก็บอกว่าอาหารเช้าสำคัญ ขาดไม่ได้ หรือไม่ควรขาด แล้วอาหารเช้าสำคัญอย่างไรกันเล่า และจะให้กินอะไรเป็นอาหารเช้า...
ในเมื่อดื่มแค่กาแฟแก้วเดียวฉันก็อยู่ได้จนถึงมื้อกลางวัน ตอนเช้าน่ะแทบจะไม่มีเวลากินอะไรหรอก เพราะต้องรีบไปทำงาน และฉันต้องการลดน้ำหนักแถมยังประหยัดเงินอีกมื้อหนึ่งด้วย
เหล่านี้เป็นคำกล่าวที่เรามักจะได้ยินจากคนที่ไม่กินอาหารเช้า โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานนอกบ้าน ตอนเช้าต้องเร่งรีบออกจากบ้าน โดยไม่ได้กินอาหารเช้า เมื่อไปถึงที่ทำงานก็มีงานมากมาย จนไม่มีเวลากินอะไรจนถึงเวลากลางวัน
 เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า เราไม่ได้กินอาหารนับจากมื้อเย็น ประมาณสิบสองชั่วโมงหรือมากกว่า หากเรางดอาหารมื้อเช้า และกินอาหารกลางวันเป็นมื้อแรกของวัน หมายถึง ร่างกายจะไม่ได้รับอาหารอีกประมาณห้าชั่วโมง รวมแล้วไม่ต่ำกว่าสิบเจ็ดชั่วโมงที่ร่างกายไม่ได้รับอาหาร อาหารมื้อเย็นที่เรากินเข้าไปถูกย่อยและใช้ไป เมื่อเราพักผ่อนนอนหลับ ร่างกายใช้พลังงานน้อย อาหารมื้อเย็นจึงอยู่ได้หลายชั่วโมงกว่ามื้ออื่น ที่เรากินในตอนกลางวัน ซึ่งร่างกายใช้พลังงาน ในการทำกิจกรรมต่างๆ มากกว่า
เมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ในขณะที่เราลุกขึ้นเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างๆ เราจะรู้สึกหิว ศูนย์หิวที่สมองสั่งให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมาทำให้ท้องว่าง เพราะร่างกายต้องการพลังงาน หากเรายังไม่เติมพลังงานให้กับร่างกาย หรือยังไม่กินอาหารเช้า ร่างกายต้องไปดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ที่สะสมไว้ในตับ ซึ่งร่างกายเก็บเป็นเสบียงไว้ใช้ในยามจำเป็น นำมาใช้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ แต่ไม่นานนักพลังงานส่วนนี้จะถูกใช้จนหมดไปเพราะไม่มีใหม่มาเติม
 การขาดอาหารเช้าอาจจะทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย ยิ่งสายใกล้เที่ยงจะเกิดอาการโมโหหิวได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กไม่ควรขาดอาหารเช้า มีงานวิจัยหลายเรื่องที่พบว่า การกินอาหารเช้ามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ในขณะที่ท้องหิวสมองก็ไม่รับรู้เรื่องที่ครูสอนไม่มีสมาธิในการเรียน บางคนไปสอบโดยไม่มีกินอาหารเช้า ทำให้ทำข้อสอบไม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นเราควรกินอาหารเช้าเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน ที่จะต้องใช้ในการทำงานทั้งกำลังกายและสมอง
จากผลการวิจัยหลายเรื่องทำให้กล่าวได้ว่า การกินอาหารเช้า ที่มีคุณค่ามีความสำคัญ นั่นคือ
คนที่กินอาหารเช้ามีพลังงานในการทำงานได้นานกว่า และมีความอ่อนล้าในช่วงกลางวันน้อยกว่าคนที่เริ่มอาหารเช้า ด้วยกาแฟเพียงแก้วเดียว
การกินอาหารเช้าทำให้ช่วยลดปริมาณการกินอาหารว่าง
ถ้าเราปล่อยให้ร่างกายคอยนานเกินไปกว่าจะได้รับอาหารมื้อแรกของวัน ระบบการย่อยอาหารก็จะเฉื่อยชาในการทำงาน ซึ่งมีงานวิจัยพบว่า คนที่ไม่กินอาหารเช้ามีอัตราการเผาผลาญอาหารต่ำกว่า คนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ
เด็กที่กินอาหารเช้ามีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่า ให้ความร่วมมือดีกว่า และมีสมาธิในการเรียนดีกว่าเด็กที่ไม่ได้กินอาหารเช้า
ปัญหาที่สำคัญของคนไม่กินอาหารเช้าส่วนใหญ่คือไม่มีเวลา นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัวเท่านั้น หากคุณตั้งใจที่จะกินอาหารเช้า คุณก็ทำได้ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที อย่างไรก็ตาม ควรมีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพนั่นคือ ก่อนนอนคิดรายการอาหารมื้อเช้าว่าจะกินอะไร เตรียมอุปกรณ์ และเครื่องปรุงไว้ก่อนเท่าที่เป็นไปได้
   ตัวอย่างอาหารเช้า ซีเรียลและกล้วยหอม, นมสด, กาแฟ, เครื่องดื่มเย็นนิวทริชั่นแนลโปรตีน(เชค),น้ำเต้าหู้,โจ๊ก,ข้าวต้ม
นอกจากนี้ในแต่ละวันควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ หมู่เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง หมู่ข้าว แป้ง เผือก มัน หมู่พืชผัก หมู่ผลไม้ และหมู่ไขมันจากพืชและสัตว์ ถ้าเป็นไปได้ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ อาหารเช้าควรจะเป็นอาหารหลายอย่าง ไม่ควรเป็นพวกแป้งเพียงอย่างเดียว เพราะในกระบวนการย่อย และดูดซึมอาหารนั้น จำเป็นต้องใช้สารอาหารหลายชนิดทำงานร่วมกัน หากขาดชนิดใดชนิดหนึ่งอาจจะทำให้กระบวนการนั้นไม่สมบูรณ์ และร่างกายไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นการกินอาหารไม่ใช่เพียงแต่อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ควรคำนึงถึงประโยชน์ของอาหารที่เรากินเข้าไปด้วย และควรหมุนเวียนชนิดของอาหาร ไม่กินอาหารอย่างเดียวซ้ำซาก
คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับอาหารเช้าของลูก และของตนเองเหมือนกับการอาบน้ำแต่งตัว จัดสรรเวลาส่วนหนึ่งให้กับอาหารเช้า เพื่อให้คุณและสมาชิกในครอบครัว มีพลังงานการทำงานและอารมณ์สดใสตลอดวัน

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถ้าแฟนติดแม่ บ้าเกม คลั่งภาพโป๊ ฯลฯ ต้องรับมือ ดัดนิสัยยังไง!?

       By Lady Manager
      
       
ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน พอเราจะชงกาแฟให้ รีบพูดโพล่งบอกไม่ต้องใส่น้ำตาลนะ เพราะหน้าน้องนั้นหวานเจี๊ยบอยู่แล้ว แต่..พอได้เเจ๊ะแจ๊ะ แอบแซ่บ เราเท่านั้นแหละ ไม่กี่เดือนรีบใส่เกียร์ 5 เหยียบคันเร่งมิดเผ่นเเน้บจากเรา ใช่ซี๊..เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน แค่หายใจเข้า หายใจออก ก็ผิดแล้วใช่ม่ะ T T
      
       
แต่ก่อนติดเราหนึบเหมือนปลาท่องโก๋ จะเข้าห้องน้ำที บอกรีบๆ ฉี่ เร่งๆ อึนะ ผมคิดถึง ไม่อยากจากสักเสี้ยวนาที ตอนนี้เหรอ พอมันแซะตัวออกจากเตียงได้ ก็รีบคว้าเสื้อหยิบกางเกงใส่วิ่งแน่บออกจากบ้านทันที โดยไม่ร่ำไม่ลา
       
       "พวกผู้ชายเป็นงี้ทุกคนแหล่ะ"

       
       เพื่อนสาวที่เพิ่งสละโสดบอกเล่าเก้าสิบ 

       
       "เดี๋ยวนี้เวลาให้ชั้นนะแก แทบจะไม่มี เอะอะทำงาน ติดประชุม พอวันหยุดที ก็นัดเพื่อนในก๊วนดริ้งก์มั่งแทงสนุ้กมั่ง พอชั้นขอไปด้วย บอกเกะกะ"

       
       "ระวังนะแก พี่เค้าอาจจะเปลี่ยนจากแทงสนุ๊กเป็นแทงรูอื่นที่นิ่มๆ แถมดิ้นได้ ฮิฮิ"

       
       เพื่อนสาวรีบตัดบทสนทนา พร้อมค้อนขวับหนึ่งที

      
       "อ้าว ก็พวกผู้ชายส่วนใหญ่เค้าก็ต้องดูบอล เตะบอล สังสรรค์ กินเหล้า เฮฮา ตีสนุ้ก แต่งรถ ฯลฯ ทำคนเดียวได้มั้ย ไม่ได้ มันต้องอยู่กับเพื่อนฝูง ถึงจะมันส์สะเด็ดสะเด่า 
       
       ส่วนพวกผู้หญิงชอบทำอะไร้ ก็ช้อปปิ้ง เสริมสวย ทำผม ทำเล็บ ขัดตัว ทำคนเดียวได้มั้ย ได้สิ เสริมสวยก็ต้องไปคนเดียวอยู่แล้ว มีคนไปด้วยเค้าก็ต้องมานั่งรอ ส่วนช้อปปิ้งไม่มีแฟนก็ไปกับเพื่อน มีแฟนก็ไปกับแฟน อ้ะ แปลว่าไม่ติดเพื่อนก็ได้นี่" เพื่อนชายข้างบ้านสไตล์แรฟโย่ว สาธยายอาการสารพัดติดของหนุ่มๆ ทำนองฮิปฮอปอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวใครแย่งพูด

       "ถ้าจะเหมารวมว่าทำไมผู้ชายถึงสารพัดติด เพราะว่าการกระทำเหล่านี้มันไปกระตุ้น สิ่งที่เรียกว่า ‘รางวัล’ คือ เมื่อเขาทำสิ่งนั้นแล้วจะมีความสุข มันได้อะไรบางอย่างที่เขาต้องการ จึงทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ เช่น การใช้สารเสพติด ก็ทำให้เกิดความสุขขึ้นมาได้
      
       
ใช้แล้วผ่อนคลาย หรือรู้สึกว่า มีความกระตือรือร้นอยากทำงาน หรือมีอะไรที่รู้สึกว่า ทำแล้วกระชุ่มกระชวยขึ้นแม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตามมาจะเป็นโทษก็ตาม"จิตแพทย์ โยธิน วิเชษฐวิชัย แห่งโรงพยาบาลสมิติเวช อธิบายนิสัยของผู้ชายที่ขี้ติด ติดทุกสรรพสิ่งยกเว้น "ติดแฟน"!
      
       
แหม มันช่างน่าน้อยเนื้อต่ำใจ น่าทำปืนลั่นใส่สักนัดสองนัด ว่าม่ะ
      
       
ว่าแต่ พวกบรรดาผู้ชายเขาจะติดอะไรกันบ้าง ติดจนงอมแงม ถอนรากถอนโคนไม่ขึ้นหรือเปล่า เราลองมาดู แบ่งปันประสบการณ์ที่ชายเสพติดกันค่ะ
      
       Case1 : ติดงาน
       แต่ละคนถูกปลูกฝังต่างกัน บางคนคิดว่า การบ้างาน โหมงานหนักทำให้ลูกน้อง เพื่อนร่วมงานยอมรับ นับถือ ซึ่งคุณหมอ ย้ำว่าไม่จริงเสมอไป
      
       
"หมอเชื่อว่า คนๆ นั้นอาจจะต้องการการยอมรับทางสังคม อาชีพ มีอะไรบางอย่าง เขาโฟกัสตรงนั้นมาก ถ้าตามประเด็นทางจิตวิทยา ก็คือ ซิกมันด์ ฟรอยด์(Sigmund Freud) กล่าวไว้ว่า ทุกอย่างที่มนุษย์กระทำมีเหตุผลมาจากอดีต คือ เขา อาจจะถูกปลูกฝังว่า ถ้าคุณทำงานได้ตำแหน่งสูงๆ คุณจะได้รับการถือหน้าถือตา เพื่อนร่วมงาน ลูกน้องรักใคร่ จึงโฟกัสตรงนั้น
      
       
ขณะที่การเลี้ยงดู หรือการเอาใจใส่ครอบครัว ไม่ได้รับการปลูกฝังมาก็อาจไม่ได้รู้สึกว่าสำคัญในชีวิต อันนี้ค่อนข้างกว้าง แต่ละคนไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ในอดีตของเขาจะไปเจออะไรมา ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ แล้วได้สิ่งที่ต้องการ เขาก็จะถูกสั่งสอน อบรมมาแบบนี้ซ้ำๆ พอโตขึ้นมาอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นปัญหาอยู่ ก็ยังทำต่อไปเรื่อย”
      
       
Solution
      
       
การมีครอบครัวที่อบอุ่น มีเวลาให้แฟนบ้าง ลูกบ้าง ทำกิจกรรมร่วมกัน เวลาแห่งความสุขเหล่านี้ถึงมีเงินมากโขก็หาซื้อไม่ได้ หากมัวแต่ทำงานหนัก โหมโอที แต่ครอบครัวแตกแยกพังสลายมันคุ้มเหรอ คุณหมอโยธิน แนะว่า ควรทำงานให้เป็น อย่าหลับหูหลับตา เหนื่อยแค่ไหนก็สู้ทำ ทุกอย่างต้องมีลิมิต อย่ามีชีวิตเกินร้อย เครื่องจักรที่เป็นเหล็กยังต้องพัก แล้วคนเราไม่ใช่เครื่องจักร ถ้าไม่พักย่อมมีผลเสีย
      
       “การติดงานมากไป จนไม่มีเวลาให้ครอบครัว ลูกเต้า อาจก่อให้เกิดปัญหาระดับชาติ คือ ครอบครัวแตกแยก เด็กมีปัญหา เพราะพ่อไม่มีเวลาให้ วันๆ ทำแต่งาน ไม่สนใจลูก ภรรยา ต้องรอการกลับมาของสามีดึกดื่น ไม่มีเวลาได้คุยกัน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ อย่าลืม ว่าเงิน ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง”
       
       “เหมือนการติดสิ่งต่างๆ ทั่วไป ที่ไม่ใช่สิ่งเสพติด แต่ว่าเขาต้องไม่ทำเกินไป ต้องไม่ก่อเกิดปัญหาให้ชีวิต งานต้องทำให้เขาพัฒนาตัวเองหรือว่ามีการทะเยอทะยานทำให้ชีวิตเขาเจริญก้าวหน้าขึ้นก็จะดี ถ้าติดงานมากเกินไปก็ไม่ดี เหมือนเป็นดาบสองคม "

      
       Case2 : ติดแม่ 
       หากคุณเจอผู้ชายประเภทลูกแหง่ เรียกได้ว่าโป๊ะเช๊ะคร้าบพี่น้อง ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นยังพอฟัดพอเหวี่ยง แต่ถ้าเป็นหม่าม้าแสนเลิฟของแฟนนี่ซิ จะแตะจะสอยจะบ่นว่าก็ไม่ได้ ประเด็นนี้อ่อนไหวสำหรับผู้ชายรักแม่ม้าก ห้ามใครแตะต้อง แม้แต่เมีย จะไปเที่ยวกับแฟนทียังต้องถามแม่ ไม่รู้เวลาขึ้นเตียงต้องเซย์ฮัลโหลถามแม่ด้วยมั้ย ว่าต้องทำอีท่าไหน
      
       
คุณหมอโยธิน ชี้ว่า ผู้ชายบางคนอาจเป็นโรคบุคลิกภาพโตไม่เต็มที่ (Immature) ทำให้เป็นลูกแหง่ติดแม่ได้
      
       
“หมอเคยเจอมาเหมือนกันครับพวกลูกติดแม่ ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงดู แต่ก็มีส่วนน้อยที่เป็นโรค เป็นบุคลิกภาพที่ไม่โตเต็มที่ คือ ไม่พร้อมที่จะไปนำใคร ส่วนใหญ่จะอยากเป็นผู้ตามมากกว่า ดังนั้นเวลาอยู่กับแฟนก็จะเป็นผู้ตาม อยากมีคนชี้นำทางอะไรให้ ยังไม่โตเต็มที่ ซึ่งอาจจะก่อปัญหาในการมีชีวิตครอบครัวได้ ขึ้นกับระดับของการติด ถ้าติดมากไปก็เป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ มีอะไรก็จะพึ่งแม่ตลอด จนดูแลตนเอง และคนอื่นไม่เป็น”
      
       
Solution
      
       
ก่อนอื่นผู้เป็นแฟนต้องถามใจตัวเองเป็นอันดับแรก ว่า “รับได้ไหม” คุณหมอแนะ ต้องมองถึงอนาคตว่าเราต้องเจออะไรบ้าง ถึงขั้นทำชีวิตคู่วุ่นวายไหม ถ้าคำตอบคือ “ชั้นรับไม่ได้” ก็คงต้องสวม converse ทางใครทางมันแล้วล่ะ
      
       
“ถ้ามีแฟนติดแม่ ต้องถามอย่างแรก ก่อนอื่นเลยว่า แฟนของตนมีปัญหาหรือเปล่า ติดแม่ต้องประเมินดูว่า ตัวคนนั้นมีผลกระทบต่อชีวิตด้านอื่นหรือเปล่า เช่น ทำอะไรไม่ได้เลย ต้องถามแม่ตลอด คิดเองไม่ได้ จะแต่งงาน หรือจะไปเที่ยวกับแฟนก็ต้องถามแม่ก่อน แต่แต่งงานอาจเป็นเรื่องปกติ ต้องถามแม่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ไปเที่ยว ทำอะไรต้องถามแม่ ขออนุญาตทุกครั้งจนชีวิตวุ่นวาย
      
       
ต้องถามเขาว่า รู้สึกอย่างไร เขาอยากเปลี่ยน อยากแก้ไขอะไรไหม มันเกิดปัญหาต่อชีวิตเขาหรือเปล่า ทำให้เขาไม่สบายใจ อะไรหรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่ถ้าเขาไม่อยากแก้ ก็ต้องเป็นเรื่องของเขาแล้ว ว่าต้องตัดสินใจเอง ส่วนผู้เป็นแฟนต้องคิดแล้ว เราจะเหมาะกับเขาหรือ แต่ถ้ารักกันจริงๆ ก็ควรจะปรับเข้าหากันก่อนเท่าที่ทำได้ สุดท้ายถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องทำใจ หรือ ตัดใจ
      
       
แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นอยากแก้มันก็มีวิธีแก้ คือ มาดูว่าสิ่งที่เขาทำ ชั่งน้ำหนักว่า ตรงนี้มันจำเป็นต้องขนาดนี้หรือเปล่า หมอเคยเจอเคส (case) หนึ่ง ถ้าไม่ทำตามใจคุณแม่ คุณแม่เป็นโรคหัวใจ เขาต้องยอมทำตามแม่ทุกอย่าง ขัดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวโรคหัวใจกำเริบ จะอันตราย เขาก็มีเหตุผลที่ต้องทำ”
      
       
คุณหมอ บอกเล่าประสบการณ์ลูกติดแหง่แม่ที่มีเหตุผลในแง่ดี อภัยได้ ที่ต้องจำใจติด 
       
       Case3 : ติดเพื่อน ติดเหล้า สารเสพติด

       วัยโจ๋ และวัยทำงานติดเพื่อน ติดสังคม และลงเอยด้วยการติดเหล้ามากสุด เป็นเรื่องธรรมดาสามัญผู้ชายมักมีสังคม รักเสียงเพลง ชอบคุยสนุกเฮฮาลั้นลา ในหมู่เพื่อนฝูง คุณหมอแจงว่า เป็นเรื่องที่ดูเหมือนปกติแต่ไม่ปกติ ในทุกชนชาติ
      
       
"ส่วนใหญ่จะพบในช่วงวัยรุ่น ถ้าติดแม่ส่วนใหญ่จะพบในช่วงเด็กๆ หรือเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่โต 2 กรณีนี้จะคล้ายๆ กันก็คือ เขาได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องการ เป็นประเด็นทางจิตวิทยา
      
       แต่ถ้าอธิบายเป็นประเด็นทางวิทยาศาสตร์ คือ สารเคมีในสมอง จะมีตัวรับสัญญาณอันหนึ่งในสมอง เวลาเราได้สิ่งที่มันพึงพอใจมันจะหลั่งสารความสุขออกมา จึงทำให้สมองจึงทำให้สมองรับรู้ความสุขและสั่งให้เพิ่มพฤติกรรมนั้นมากขึ้น เหมือนกับสารเสพติดเพียงแต่สารเคมีในสมองจะถูกกระตุ้นโดยสารเสพติดได้มากกว่า การได้รับรางวัลทั่วไป
      
       
ดังนั้นการ ติดแม่ ติดเพื่อน คล้ายกันจะก็จะมีการหลั่งสารเคมีในสมองเหมือนกัน แต่ไม่ได้ปริมาณมาก ถ้าทำแล้วได้รับสิ่งที่ต้องการมีความสุขก็จะทำมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การติดสารเสพติดนั้นจะมีผลกระทบกับสมองรุนแรงมากกว่า จนอาจทำให้ระบบความสุขของชีวิตเสียไป”
      
       
Solution
      
       
สติ สติ และ สติ ท่องไว้ให้ขึ้นใจ ติดเหล้าเมาเรื้อนทำให้ขาดสติ ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ ปัญหาตามมาอื้อ
      
       
“ทำให้เขารู้ก่อน ทางพุทธเรียกว่า ทำให้เขามีสติ เขาต้องรู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ มีปัญหาไหม ถ้าเขามีสติ เขาจะมีปัญญาตามมา แล้วเขาจะแสวงหาทางแก้เอง ฉะนั้นทางแก้อย่างแรกคือ ต้องทำให้เขามีสติ ถ้าพยายามเต็มที่แล้วยังไร้สติก็ปล่อยเขาไปเถอะ
      
       
แต่บางส่วน เป็นเรื่องวิสัยของผู้ชาย เขามีเพื่อนเรียนหนังสือมาด้วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อแยกย้ายทำงานกันแล้ว ต้องนัดพบปะสังสรรค์เป็นของธรรมดา แต่ถ้ามากเกินไปก็ต้องคุยกัน ปรับความเข้าใจกันให้ดี ”
      
       Case4 : ติดเกม ติดอินเตอร์เน็ต
       ติดโลกสังคมออนไลน์ ก็เหมือนติดกับดักเทคโนโลยี หากใช้เป็นก็ก่อเกิดประโยชน์มหาศาล แต่หากใช้มากจนผิดคอนเซปต์นั่งหน้าคอมพ์เล่นเกมส์จนรากงอก อาจทำชีวิตเรียน การงานล่มจมอับแสงได้ หลงคิดว่าชีวิตของตนกับในโลกไซเบอร์เป็นสิ่งเดียวกัน (เหมือนดังคนที่ถูก Inception จนติดอยู่ในความฝัน)
      
       
"คนเหล่านี้ต้องการ อาจการยอมรับจากสังคม แม้ไม่ใช่สังคมที่แท้จริง แต่เป็นสังคมในโลกออนไลน์ หรือเพื่อนที่เล่นเกมด้วยกัน ยอมรับว่า คนนี้เก่งน่ะ ทำให้รู้สึกถูกยอมรับ” คุณหมอโยธิน ชี้แจงว่า
      
       
“เขาต้องการยอมรับจากคนที่เป็นเป้าหมาย เป็น target ของตัวเอง ว่าเขาเก่งน่ะ โดยทั่วไปที่อยากให้เขามายอมรับ ก็เพื่อจะได้ยอมรับตนเองได้ทั้งนี้ มันก็ไม่ได้เหมือนกันทุกคน ขึ้นอยู่กับพื้นฐาน ประวัติการเลี้ยงดูเดิมของแต่ละคนครับ"
      
       
Solution
      
       
กระตุ้นเตือนให้รู้ตัว ว่าอย่าหมกมุ่นมากเกิน อาจจำกัดเวลาในการเล่นเกม เพื่อเอาเวลาที่เหลือไปทำกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ คุณหมอ แนะวิธี ถอนรากออกจากเกม และเน็ต
      
       
“หรือเด็กที่เล่นเกมส่วนใหญ่จะบอกว่า ขอเล่นอีก 2-3 ชั่วโมง ไม่มีปัญหาหรอก แต่จริงๆ แล้วต้องทำให้เขารู้ว่าเสียเวลาในการทำอย่างอื่น เช่น การนอน การอ่านหนังสือ
      
       
ต้องทำให้เขารู้ตัวก่อน ว่าสิ่งที่เขาทำ มันเป็นปัญหาหรือเปล่า ส่วนใหญ่ตัวเขาเองจะไม่รู้หรอก ส่วนใหญ่คนรอบข้างจะรู้ก่อนเสมอ”
      
       Case5 : ติดเซ็กซ์
       อืม ว่าไปแล้วข้อนี้ ติดก็ดีน่ะ เขาจะได้ไม่ห่างเรา แต่หากไม่ใช่กับแฟนนี่ซิคะ งานเข้าแน่ๆ แต่ถ้าถึงกับสะกิดบ่อยเกินเหตุ วันๆ ร้องระงมเสียงหลงจนคางเหลืองคลานกันไปทำงานก็ไม่ไหวจะเคลียร์ค่ะ
      
       
ประเด็นติดเซ็กซ์นี้คุณหมอ กล่าวว่า
      
       
"การต้องการได้รับความสุขจากการติดเซ็กซ์นั้น ถ้ามากไปจะเป็นปัญหา ไม่ว่าจะติดอะไรก็ตาม คือพฤติกรรม ที่ทำมากเกินทางสายกลาง จะก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับชีวิตเขา
      
       
การติดเซ็กซ์ ถ้ามีเซ็กซ์กับแฟนเป็นครั้งเป็นคราวแล้วมีความสุข ไม่ผิดปกติ แต่เช่นกรณีไทเกอร์ วูดส์ (Tiger Woods) มีภรรยาน้อย ต้องเที่ยวผู้หญิงเป็นประจำ ก็จะเสี่ยงต่อการติดโรค มันก็จะเป็นปัญหา ดังนั้นการติดถ้าควบคุมให้อยู่ในระดับที่โอเค ก็จะไม่ค่อยเป็นปัญหา แต่ส่วนใหญ่มนุษย์ ทั่วไปจะคุมไม่ค่อยได้”
      
       
ถ้าดูที่ต้นเหตุแล้ว มันเกี่ยวกับประเด็นในเรื่องของความสุขที่เขาได้รับ หรือ การยอมรับ อะไรที่เป็นความรู้สึกดีๆ ที่เขาได้รับ ก็จะทำให้คนทำพฤติกรรมเหล่านี้มากขึ้นๆ คนที่มีจิตใจอ่อนแอก็จะควบคุมไม่ได้ จะทำมากจนก่อให้เกิดปัญหาชีวิตของตัวเอง" คุณหมอยกตัวอย่างกรณีพี่มืดนักกอล์ฟชื่อดังก้องโลก ไทเกอร์ วูดส์ ที่ติดเซ็กซ์งอมแงมจนครอบครัวร้าวฉาน เมียขอหย่า ยุติชีวิตแฟมิลี่แมนแสนอบอุ่น
      
       
Solution
      
       
ต้องเลิกนิสัยคิดเข้าข้างตัวเองว่าการติดเซ็กซ์ไม่ใช่ปัญหา เลิกเสียทีค่านิยมอันผิดศีลธรรม ต้องข่มอกข่มใจ เพื่อครอบครัว และลูกเมีย หวนคิดถึงความสุขจริงๆ จากจิตใจบริสุทธิ์ ที่ไม่ใช่ตัณหา ราคะ คุณหมอ แนะนำ
      
       
“เขาต้องรับรู้ก่อนว่า สิ่งที่เขาทำอยู่มันก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิต หรือเป็นปัญหากับชีวิตตัวเองหรือเปล่า ถ้าไม่ได้เป็นปัญหาอะไรจริงๆ ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง ก็ไม่ต้องไปแก้อะไร
      
       ผู้ชายบางคนอาจจะแก้ตัวว่า ไม่เป็นปัญหาหรอก แต่จริงๆ แล้วมันเป็นปัญหาน่ะ แต่งงานไปแล้ว แต่ไปมีภรรยาน้อยเพื่อต้องการการยอมรับจากเพื่อนฝูง ว่า เก่งนะ มีเมียได้หลายคน อันนี้เป็นค่านิยมที่เขาคิดเองเอง หรือว่า ตามเพื่อน ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ต้องเกิดปัญหาในอนาคตที่แน่นอน”

      
       Case6 : ติดหนังโป๊
       "ผู้ชายส่วนใหญ่ดูหนังโป๊”
      
       
คุณหมอย้ำ จะมีผู้ชายนอกคอกไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์มั้ง ที่จะไม่ดูหนังอย่างว่า
      
       
“ปัจจุบันนี้สื่อค่อนข้างเปิดกว้าง อะไรก็ตามเป็นสิ่งที่ลึกลับน่าค้นหา ไม่เคยพบเห็นมาก่อน หรือต่างจากสรีระของเขา ผู้ชายก็จะชอบเข้าไปดู ชอบความตื่นเต้น เร้าใจ แต่ถ้าถึงขั้นติดหนังโป๊ดูบ่อยๆ จนเสียงานเสียการ”
      
       
บางคนนี่ซิคะ เยอะเกิ้น พอตกกลางคืนลับตาคนก็ปฏิบัติการสาว สาว สาว นั่งเหนี่ยวอยู่หน้าคอมพ์จนกระทั่งตัวเองอ่อนเพลีย กระหายน้ำ ไหวป่ะพี่
      
       
ต้นตอจริงๆ แล้ว คือ มนุษย์เรามีสัญชาตญานดิบทางเพศที่เรียกว่า Sexual drive แต่เรามีตัวควบคุมอยู่ คือ อีโก้ (Ego) กับซูเปอร์อีโก้ (Superego) Ego เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่พัฒนามาจากการที่ทารกได้ติดต่อหรือมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก บุคคลที่มีบุคลิกภาพปกติ คือ บุคคลที่มีการพัฒนา และ ใช้ Ego ได้มีประสิทธิภาพ ส่วน Superego เป็นส่วนของศีลธรรม จริยธรรมที่ได้รับค่านิยมและมาตรฐานจริยธรรมจากบิดามารดา หรือสิ่งแวดล้อมเป็นของตน โดยตั้งเป็นมาตรฐานความประพฤติ มาตรฐานนี้จะเป็นเสียงแทนบิดา มารดา หรือ ผู้เลี้ยงดู คอยบอกว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ”
      
       
คุณหมอพูดพรางถอนหายใจ เดี๋ยวนี้มนุษย์เราความเจริญทางจิตใจเสื่อมถอยลงมากสวนทางกับวัตถุ
      
       
“ปัจจุบันมนุษย์เรามีแต่ความเจริญทางวัตถุ ส่วนความเจริญทางด้านจิตใจจะน้อยลงสวนทางกัน ดังนั้นบางคนจึงคิดว่าการดูหนังโป๊ และการมีกิ๊ก มีชู้ เป็นเรื่องไม่ผิดศีลธรรม เป็นเรื่องปกติ เขายอมรับกันในสังคม ซึ่งจริงๆ มันก่อให้เกิดปัญหากับเขา เป็นสิ่งที่ไม่ควร แม้แต่จะคิด เรื่องผิดลูกเมียผิดใคร”
      
       
Solution
      
       
คุณหมอชี้ว่า ปัญหาติดหนังโป๊ต้องปลูกฝัง แก้ตั้งแต่แบเบาะ เริ่มตั้งแต่เด็กเล็ก พ่อแม่นี่แหล่ะควรต้องสั่งสอน และยกตัวอย่างผลเสียของการดูมากไป แต่หากสั่งสอนเท่าไหร่ก็ไม่จำ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ว่างเมื่อไหร่เปิดคอมพ์ดูเว็บโป๊ ตำราเรียนไม่แตะ แต่หนังสือโป๊ขอให้บอก งั้นเราคงต้องปลง เพราะบางคนเขาอาจจะ “Born to be”
      
       
“ถ้าจะแก้ก็ตั้งแต่สังคมเลย ก็ต้องมีการปลูกฝังเด็กๆ ว่าไปทำอย่างนี้มันไม่ดีน่ะ ต้องบอกเขาด้วยว่ามันไม่ดีอย่างไร ก่อให้เกิดปัญหาอะไร ต้องมีตัวอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่ยกตัวอย่าง ต้องทำให้เด็กรู้ ไม่งั้นเด็กจะคิดว่าอ้าว ไม่เห็นมีผลเสียอะไรเลย งี้ก็ทำได้ซิ ทำต่อไปเรื่อยๆได้ ขึ้นกับสันดานแต่ละคน พันธุกรรม หรือบางคนอาจจะ born to be ส่วนหนึ่ง บวกๆ กันสามอย่าง”
      
       
พวกผู้ชายติดหนังโป๊บางคนถึงขั้นเสพติดจนอารมณ์ค้าง คุมสติไม่อยู่ คุณหมอ ขอเตือนสาวๆ (ที่ไม่ใช่แฟน) เลยว่า เลี่ยงการอยู่สองต่อสองเด็ดขาด
      
       
“แต่ถ้าเขาดูหนังโป๊จนเสียงานเสียการ ควรจะเรียกมาพบหมอ เช่น เห็นคอมพิวเตอร์ไม่ได้ ต้องมือไม้สั่นเปิดดู หรือลุกลามจนเดินไปดูของคนนั้นคนนี้ไปทั่ว อันนั้นต้องส่งมารักษา การดูแบบนี้มากๆ เราสามารถเลือกรับสื่อได้ แต่การควบคุมตัวเองบางคนอาจจะไม่มี บางคนอาจจะเป็นคนดีที่ควบคุมตนเองไม่ได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง"
      
       ติดพอเป็นกษัย หอมปากหอมคอ พอรับได้ แต่หากติดแหง่กจนหลุดออกจากวังวนเหล่านี้ไม่ได้ ถึงขั้นเสียงานเสียการ เลยเถิดจนเสียความสัมพันธ์ที่บ่มเพาะกันมานานนับปี จนแฟนสาวส่ายหน้าหนี ช้านไม่อาวแล้ว ถอยดีกว่า เซย์กู้ดบาย หาแฟน หรือกิ๊กใหม่ ที่หล่อลากกระชากตับกว่าเดิม คราวนี้ล่ะมีหวังได้ลมจับ! น้ำตาเช็ดหัวเข่าติดเหล้าช้ำใจของจริงแน่ๆ เข้าใจ๋น่ะหนุ่มๆ….. 
      

 มี่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เจ๋ง! นักวิจัยไทยสังเคราะห์ “กราฟีน” ได้จริงในแล็บ



ดร.อดิสร กับน้ำหมึกนำไฟฟ้าที่ผสมกราฟีน (มือขวา) และโครงสร้างอุดมคติของกราฟีน (มือซ้าย)
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เครื่องพิมพ์ซึ่งใช้หมึกนำไฟฟ้าพิมพ์วงจรสำหรับเซนเซอร์เคมีไฟฟ้า

ภาพขยายกราฟีน 100,000 เท่า จากกล้องทีเอเอ็ม

เป็นความตื่นเต้นลึกๆ ของคนทำวิจัยในเรื่องเดียวกัน เมื่อผู้บุกเบิกการสังเคราะห์ “กราฟีน” คว้ารางวัลโนเบลไปในปีนี้ และความตื่นเต้นยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อภาพถ่ายระดับนาโนชี้ชัดว่า สิ่งที่นักวิจัยของไทยสังเคราะห์ขึ้นมานั้นเป็นวัสดุชนิดเดียวกัน 
      
       เมื่อ 6 เดือนก่อน ดร. อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้อำนวยการหน่วยปฏิบัติการนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พร้อมทีมวิจัยมีแนวคิดที่จะพัฒนาเซนเซอร์ซึ่งมีความไวมากขึ้นโดยใช้เทคนิคการพิมพ์ จึงสนใจสังเคราะห์กราฟีน (Graphene) ขึ้นมาเป็นส่วนผสมของน้ำหมึก แทนที่จะซื้อมาผสมเหมือนงานวิจัยที่มีอยู่ทั่วโลก
      
       ทั้งนี้ กราฟีนเป็นวัสดุชนิดใหม่และเป็นอีกรูปแบบในการจัดเรียงตัวของคาร์บอนเป็น 2 มิติ คือมีเพียงความกว้างและความยาว โดยมีความหนาเพียงอะตอมชั้นเดียว ซึ่งความหนาอุดมคติของกราฟีนอยู่ที่ 0.335 นาโนเมตร แต่ยังไม่เคยมีใครวัดได้จริง เพราะวัดได้ยากมากเนื่องจากมีอิเล็กตรอนวิ่งอยู่รอบๆ เหมือนเป็นกลุ่มเมฆปกคลุม
      
       ดร.อดิสรซึ่งเปิดห้องปฏิบัติกล่าวให้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้เข้าไปชมผลงานการวิจัยกราฟีน กล่าวว่าทางห้องแล็บของเขาหันมาสนใจกราฟีนเพราะมีผลงานเรื่องนี้ตีพิมพ์ใหม่ออกมาทุกวัน และทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับวัสดุชนิดใหม่นี้ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาตินานแล้ว แต่เพิ่งสังเคราะห์ขึ้นมาได้เมื่อปี 2004 โดย ดร.อังเดร ไกม์ (Dr.Andre Geim) และ ดร.คอนสแตนติน โนโวเซลอฟ (Dr.Konstantin Novoselov) คู่อาจารย์-ศิษย์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (University of Manchester) และเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2010
      
       กราฟีนมีคุณสมบัติที่โดดเด่นคือ นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดง 4 เท่า มีพื้นที่ผิวมากกว่าท่อคาร์บอนนาโน 2 เท่า มีคุณสมบัติแข็งแรงกว่าเหล็ก 200 เท่าและแกร่งกว่าเพชรที่เคยได้ชื่อว่าเป็นวัสดุที่แข็งที่สุดในโลก ยืดหยุ่นได้ดี และยังมีคุณสมบัติที่ค้นพบใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้นำไปสู่การประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย
      
       หนึ่งในการประยุกต์คือผลิตขึ้นเป็นเซนเซอร์ ซึ่งทีมวิจัยของ ดร.อดิสรได้นำกราฟีนที่สังเคราะห์ขึ้นกระบวนการทางเคมีไฟฟ้าผสมเข้ากับพอลิเมอร์ ได้เป็นน้ำหมึกสำหรับใช้พิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์หรือเซนเซอร์ ซึ่งมีความบริสุทธิ์มากกว่าที่มีการวิจัยในโลกและยังเป็นวิธีการใหม่ของโลกที่ไม่เหมือนที่อื่น โดยทางทีมวิจัยกำลังยื่นจดสิทธิบัตรเทคนิคการสังเคราะห์ดังกล่าว
      
       การสังเคราะห์กราฟีนของทีมวิจัยเนคเทคนั้นแตกต่างจากสังเคราะห์ของ ดร.ไกม์ โดย ดร.อดิสรเล่าวว่า ผู้เป็นเจ้าของรางวัลโนเบลปีล่าสุดได้สังเคราะห์กราฟีนขึ้นโดยใช้เทปกาวลอกชั้นคาร์บอนออกจากกราไฟต์ ซึ่งเป็นวิธีที่สร้างความฮือฮาอย่างยิ่ง ในตอนแรกเขาส่งผลงานตีพิม์ลงวารสารเนเจอร์ (Nature) แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากไม่เชื่อว่าทำได้จริง เขาจึงส่งไปตีพิมพ์ลงวารสารไซน์ (Science) แทน
      
       ส่วนวิธีการที่ทีมวิจัยเนคเทคพัฒนาขึ้นมานั้นเป็นกระบวนการเคมีไฟฟ้า ซึ่ง ดร.อดิสรเล่าว่า เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำ และยังขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรมได้ง่าย ในขณะที่วิธีของ ดร.ไกม์นั้นแม้จะง่ายและถูกเช่นกัน แต่ขยายการผลิตได้ยากกว่า อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ยังไม่ใครที่ผลิตแผ่นกราฟีนที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 1 ตารางเซนติเมตร
      
       “เราทำมา 6 เดือนแล้วแต่ไม่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำ แต่พอได้หลักฐานจากกล้องเอเอฟเอ็ม* เห็นความหนาของชั้น 0.7-1 นาโนเมตร ซึ่งอยู่ในความหนาของกราฟีน 1-2 ชั้น และภาพขยายแสนเท่าจากกล้องทีเอเอ็ม** เราจึงมั่นใจ” ดร.อดิสรกล่าว และบอกว่า เบื้องต้นทางทีมวิจัยจะทดลองใช้เป็นเซนเซอร์สำหรับวัดกลูโคสและคอเลสเตอรอลก่อน
      
       *จุลทรรศน์แรงอะตอม (atomic force microscope, AFM)
       ** จุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน (Transmission Electron microscope: TEM)

ที่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทันตแพทย์เตือนอย่าปล่อยลูกฟันผุ ลูกเติบโตช้า


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       เด็กไทยสุขภาพฟันแย่ ทันตแพทย์เตือน ปล่อยลูกฟันผุ ทำลูกเติบโตช้า แนะพ่อแม่ฝึกลูกแปรงฟันให้ถูกวิธี 
      
       วันนี้ (19 ต.ค.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายลูกรักฟันดีเริ่มที่ซี่แรก แผนงานโรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุข สนับสนุนโดย สสส. จัดแถลงข่าว “ลูกรักฟันดี เริ่มที่ซี่แรก” (First love, First tooth) เนื่องในโอกาสวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 21 ต.ค.ของทุกปี เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ซึ่งมีคุณูปการต่อวงการทันตสาธารณสุขประเทศไทย โดยรศ.ทพญ.ชุติมา ไตรรัตน์วรกุล ภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปี 2550
      
       จากการสำรวจภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 6 พ.ศ.2550 พบฟันผุในเด็กอายุน้อยลง โดยพบว่าหลังจากฟันเริ่มขึ้น 3-6 เดือน ก็พบฟันผุได้แล้ว โดยร้อยละ 68 เป็นเด็กวัย 18 เดือน ร้อยละ 23 เด็ก 12 เดือน ร้อยละ 20 เป็นเด็กอายุ 3-5 ปี ร้อยละ 2 เกิดในเด็ก 9
      
       “ฟันผุทำให้ปวดฟันจนรับประทานอาหารไม่ได้ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก น้ำหนักและส่วนสูงต่ำกว่าปกติ ศีรษะเล็กปกติ เมื่อปวดก็จะกระทบต่อการนอน ทำให้เด็กมีความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย” รศ.ทพญ.ชุติมากล่าว
      
        ทพญ.กุลยา รัตนปรีดากุล อดีตประธานชมรมทันตกรรมสำหรับเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทันตแพทย์เด็กในประเทศไทยมีเพียง 400 คน หรือทันตแพทย์ 1 คน ต่อเด็ก 12,000 คน ซึ่งไม่เพียงพอ เพราะการรักษาฟันในเด็กยากกว่ามาก มีความเสี่ยงหลายอย่าง มักพบว่าเด็กจะผุในอัตรา 9-20 ซี่ได้ เมื่อเด็กฟันผุมากกว่า 10 ซี่ ก็จำเป็นต้องใช้วิธีดมยาสลบเพื่อรักษาในครั้งเดียว จากข้อมูลคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และม.มหิดล พบเด็กอายุน้อยที่สุดที่ถูกวางยาสลบเพียง 18 เดือนเท่านั้น ในปีพศ.2552-2553 มีหน่วยงานทันตกรรม 3 แห่ง ได้รักษาโดยบูรณะฟันทั้งปากและดมยาสลบให้คนไข้เด็กมากกว่า 200 ราย ค่ารักษาสูงถึง 3.9 ล้านบาท โดยทุกสัปดาห์จะมีเด็กเล็กอายุไม่ถึง 3 ปี จำนวน 2-3 คน มีฟันผุ 9-20 ซี่ ต้องดมยาสลบเพื่อรักษา คิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายสูงถึง 12,000-50,000 บาท เพราะเด็กเล็กต้องมีแพทย์ร่วมกันดูแลหลายด้าน
      
       ด้าน ผศ.ทพ.จรินทร์ ปภังกรกิจ ผู้จัดการแผนงานโรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุข สสส. กล่าวว่า ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพฟันลูก ด้วยการแปรงฟันให้ลูกตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกเริ่มขึ้นคืออายุราว 6-9 เดือน และแปรงฟันให้ลูกถึงอายุ 6-7 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กมีกล้ามเนื้อแข็งแรง สามารถแปรงฟันได้เอง แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่แปรงฟันให้ลูกเพราะคิดว่าลูกเล็กเกินไป หรือเด็กบางคนไม่ยอม เคล็ดลับในการแปรงฟันที่ถูกต้องคือ 1.ให้เด็กมีส่วนร่วม เช่นเลือกแปรงสีฟันด้วยตนเอง 2.สร้างบรรยากาศการแปรงฟัน ใช้แปรงมีสีสัน มีตัวการ์ตูน 3.เลือกแปรงที่ขนแปรงนุ่ม หน้าตัดเรียบ หัวเล็กมีด้ามจับใหญ่จับถนัดมือ 4.ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ช่วยลดฟันผุได้ถึง 15-30% 5.แตะยาสีฟันเล็กน้อยเป็นจุดเล็กๆ ที่ปลายขนแปรงพอชื้น 6.ให้เด็กอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน หรือนอนบนตัก เพื่อแปรงฟันได้ครบทุกซี่ 7.แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาบน้ำเช้า และเย็น เพื่อฝึกให้เป็นกิจวัตร
      
        นทพ.วริศ เผ่าเจริญ ตัวแทนเครือข่ายสโมสรนิสิตนักศึกษาทันตแพทย์จิตอาสา หรือเครือข่าย “iSmileTeen” และสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาทันตแพทย์แห่งประเทศไทย (สนทท.) จัดกิจกรรมรณรงค์ “ลูกรักฟันดีเริ่มที่ซี่แรก” (First love, First tooth) ในวันที่ 21 ต.ค.นี้ เวลา 09.00-12.00 น. ที่คณะทันตแพทยศาสตร์ทั่วประเทศ


ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์